วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2550

CPU Naming Guide : มาทำความรู้จักชื่อของ CPU แต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อ

CPU Naming Guide



มาทำความรู้จักชื่อของ CPU แต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อ


ก่อนหน้านี้ ชื่อที่เราใช้เรียกรุ่นของ CPU ก็จะแทนด้วยตัวเลขเช่น 286, 386 หรือ 486 เป็นต้น แต่นับจากที่ทาง Intel ได้เริ่มทำการใช้ชื่อเรียก CPU ที่ไม่ใช่ ตัวเลข เพื่อให้สามารถจดลิขสิทธิ์ได้ .. จากนั้นเป็นต้นมา CPU รุ่นต่างๆ ที่ออกมาหลังจากนั้น ก็มักจะมีชื่อ หรือ Codename ต่างๆ ชวนให้ปวดหัวไม่น้อย และไม่ได้มีเพียงเฉพาะแค่ทาง Intel เท่านั้น ... เจ้าอื่นๆ ทั้ง AMD , VIA ( Cyrix / IDT ), Rise หรือแม้แต่น้องใหม่ Transmeta ก็เอากับเขาด้วย ทุกๆวันนี้ หลายๆ ท่าน พอได้ยินชื่อ หรือ ได้พบเห็น Codename ต่างๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Merced, Katmai, Celeron, Joshua, Deschute, Thunderbird และ สารพัดชื่อต่างๆ ก็อาจทำให้เกิดความสับสน หรือชวนปวดหัวไม่น้อย และก็อาจพาลสงสัยไปอีกด้วยว่า เจ้า CPU ที่มีชื่อประหลาดๆ เหล่านี้ เป็นของใครกันบ้าง? มีลักษณะเด่นๆ อย่างไร? หรือ มีข้อแตกต่างกันอย่างไร? เพราะฉะนั้น บทความเรื่องนี้ ผมก็จะนำเพื่อนๆ มาทำความรู้จักกับชื่อ Codename ของ CPU ต่างๆ ทั้งจากทางค่าย Intel , AMD , VIA , Rise และ Transmeta ครับ โดยเพื่อนๆ สามารถ Click ที่ชื่อข้างล่างนี้ เพื่อเข้าไปดูเป็นชื่อๆ หรือ อ่านตามทีละหน้าได้เลยครับ :)

Intel


Intel เริ่มกันจาก ยักษ์ใหญ่ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มสร้างความปวดเศียร เวียนเกล้าให้กับพวกเรากันก่อนนะครับ

Pentium CPU ตัวแรกในตระกูล P5 และเป็นตัวแรกที่ Intel เริ่มใช้ชื่อที่ไม่ใช่ตัวเลข เพื่อการจดลิขสิทธิ์ชื่อ CPU ของตน ไม่ให้เจ้าอื่นๆ มาพึ่งใบบุญ อ้างชื่อรุ่นของ CPU เลียนแบบได้ ซึ่งเจ้า Pentium นี้ ก็ปรากฏโฉมในราวเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1993 Pentium นี้ ถ้าใช้ชื่อเป็นตัวเลข จะใช้ชื่อ 80501 ( ไม่ใช่ 80586 แฮะ ) ใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.80 ไมครอน รองรับระบบบัส 60 และ 66 MHz ใช้งานบน Socket 4 และใช้ไฟเลี้ยง ( Vcore ) 5.0 Volt แต่ต่อมาพบว่ามีปัญหาในเรื่องของการประมวลผลเชิงทศนิยม ทำให้ทาง Intel ได้ทำการแก้ไข Bug ดังกล่าว และออก CPU ตระกูลนี้มาใหม่ คือ 80502 หรือ P54 ซึ่งใช้ไฟเลี้ยง 3.3 V และลดขนาดเทคโนโลยีการผลิตลงเหลือ 0.50 และ 0.35 ไมครอน CPU รุ่นนี้ ก็มีความเร็วตั้งแต่ 75-200 MHz รองรับระบบบัส 50, 60 และ 66 MHz มี Cache ระดับ 1 ขนาด 16 K โดยแบ่งเป็น Cache สำหรับข้อมูล ( Data Cache ) ขนาด 8 K และ Cache สำหรับชุดคำสั่ง ( Instruction Cache ) ขนาด 8 K ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มาการแบ่งส่วนการทำงานของ Cache ออกเป็น 2 ส่วนเช่นนี้ สำหรับ P54 นี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบ IA32 ซึ่งใช้งานบน Socket 5 ครับ โดยชุดคำสั่งต่างๆ นั้น ยังคงใช้ชุดคำสั่งหลักๆ เดิมๆ ซึ่งมีมาตั้งแต่รุ่น i386 แล้วละครับ CPU รุ่นนี้ ต่อมา หลายๆที่ ก็เรียกชื่อให้ใหม่ว่า Pentium Classic

Pentium with MMX technology หรือ Pentium MMX หรือ P55 ... ก็นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงชุดคำสั่งภายในของ CPU ใหม่ จากทาง Intel โดยได้เพิ่มชุดคำสั่งสำหรับการประมวลผลด้าน Multimedia เข้ามาอีก 57 ชุดคำสั่ง ( 57 MMX instruction ) เจ้ารุ่นนี้ ได้เริ่มเปิดตัวในวันที่ 8 มกราคม ปีค.ศ. 1997 Pentium MMX นี้ ใช้สถาปัตยกรรมการผลิตขนาด 0.35 ไมครอน มี Cache ระดับ 1 เป็น 2 เท่าของ Pentium รุ่นแรก คือมีขนาด 32K นอกจากนี้ก็ยังได้ลดขนาดของไฟเลี้ยงเหลือเพียง 2.8 Volt และก็มีการปรับเปลี่ยนลักษณะของไฟเลี้ยงอีกนิดหน่อยเรียกว่าเป็น Dual Voltage ซึ่ง Mainboard ที่จะใช้กับ Pentium MMX ได้นั้น จะต้องรองรับการจ่ายไฟเลี้ยงแบบนี้ และมี Interface เป็น Socket 7 ... CPU Pentium MMX นี้ ก็มีความเร็วตั้งแต่ 166 MHz ถึง 233 MHz และใช้ความเร็ว Bus ของระบบเป็น 66 MHz

Tillamook เจ้า CPU ชื่อประหลาดตัวนี้ อาจไม่ค่อยคุ้นหูเราๆ ท่านๆ สักเท่าไร เพราะเป็น CPU สำหรับเครื่อง Notebook น่ะครับ ซึ่งจริงๆ แล้ว ก็คือ Pentium MMX นี่เองละครับ หากแต่ได้มีการลดขนาดเทคโนโลยีการผลิตเหลือเพียง 0.25 ไมครอน และลดขนาด ของไฟเลี้ยงลงอีกด้วย โดย CPU รุ่นนี้จะมีความเร็วเริ่มต้นที่ 133 MHz ถึงมากกว่า 266 MHz ทำงานด้วยระบบบัสความเร็ซ 60-66 MHz เป็น Package แบบ TCP และ MMC เริ่มปรากฏโฉมเมื่อ 8 มกราคม ปีค.ศ. 1997 ครับ

Pentium Pro เป็น CPU ในตระกูล P6 ตัวแรก และก็เป็น CPU ตัวแรกอีกเช่นกัน ที่ทาง Intel ได้ย้ายเอา Cache ระดับ 2 มาไว้รวมกับแกนหลัก ของ CPU เลย ทำให้ Cache ระดับ 2 นี้ทำงานด้วยความเร็วเท่าๆ กับ CPU ด้วย ซึ่งผลที่ได้นั้น ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นอย่างมาก แต่ว่า ก็ทำให้ราคาของ CPU นั้นอยู่สูงเอามากๆ Pentium Pro นี้ เริ่มวางตลาดในวันที่ 1 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1995 ซึ่งก็มีทั้งแบบที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.50 และ 0.35 ไมครอน ซึ่งในช่วงหลัง ก็ได้เพิ่มขนาดของ Cache ระดับ 2 อีกหลายขนาด เพื่อรองรับความต้องการของตลาด ทั้งขนาด 256K, 512K, 1024K และ 2048K ซึ่งราคานั้นก็จะแพงขึ้นตามขนาด แต่ว่า Cache ระดับ 1 นั้น ยังคงมีอยู่เพียง 16K เท่าๆ กับ Pentium Classic ส่วน CPU นั้นก็มีความเร็วตั้งแต่ 150 ถึง 200 MHz ด้วยความเร็วบัสของระบบเป็น 60-66 MHz ใช้งานบน Socket 8 เท่านั้น Pentium Pro นี้จะใช้ชุดคำสั่งแบบเดียวกันกับ Pentium Classic ซึ่งยังคงไม่รองรับชุดคำสั่ง MMX ครับ ... และด้วยราคาที่แพงมโหฬารของมัน ก็เลย ทำให้มันไม่ค่อยบูมในตลาดสักเท่าไร โดยมากที่ใช้กัน ก็จะใช้กันในหมู่เครื่อง Server ซะมากกว่า แต่สุดท้าย มันก็ลาโลกไปอย่างเงียบๆ ครับ

Pentium II ถือกำเนิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ปี่ ค.ศ. 1997 เป็น CPU ในตระกูล P6/x86 รุ่นถัดมาจาก Pentium Pro ซึ่งชื่อนี้ ก็จัดว่าเป็นชื่อกลางๆ ที่หมายรวมถึง CPU หลายๆ รุ่นแบ่งตามลักษณะของตลาด โดยที่ตลาดระดับกลาง ถึงระดับสูง ก็จะลุยด้วย Pentium II ( Klamath, Deschutes, Katmai ( Pentium !!! รุ่นแรก )) และสำหรับตลาดระดับกลางถึงระดับล่าง คือพวก Celeron ( ทั้งพวก Covington, Mendocino, Dixon เป็นต้น ) ส่วนตลาดระดับ Server / Workstation นั้น ก็คือพวก Xeon ( Xeon, Tanner, Cascades เป็นต้น ) ซึ่งก็มีทั้งแบบที่ใช้งานบน Interface แบบ Slot-1, Slot-2 หรือ Socket 370 เจอชื่อเยอะๆ อย่างนี้ ก็เริ่มสับสนแล้วสินะครับ ... เพราะงั้น เรามาดูกันถึงแต่ละชื่อ แต่ละรุ่นกันเลยดีกว่าครับ

Klamath เป็นชื่อของ CPU Pentium II ตัวแรกของตระกูลนี้ ซึ่งใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.35 ไมครอน ก็เลยทำให้ความเร็วของมันไม่ประทับใจแฟนๆ เท่าไร คืออยู่ที่ 233-300 MHz ใช้ความเร็วบัส ( ซึ่งในช่วงนี้เอง คำว่า FSB-Front Side Bus ก็เริ่มนำเข้ามาใช้แทนคำว่า บัสของระบบ ) ที่ 66 MHz มี Cache ระดับ 2 อยู่ในบรรจุภัณฑ์เดียวกัน CPU โดยอยู่บนแผง PCB ( Print Circuit Board ) เดียวกัน ไม่ได้รวมเข้าไว้กับ Core CPU เหมือนกับ Pentium Pro ทำให้ Cache ระดับ 2 นี้ ทำงานด้วยความเร็ว เป็นครึ่งหนึ่งของ CPU โดยมี Cache ระดับ 1 ขนาด 32K ทำงานด้วย Vcoe 2.8 Volt. และเจ้าตัวนี้เอง ก็เป็นตัวแรกที่มีการใช้ Package และ Interface แบบใหม่ นั่นคือบรรจุภัณฑ์แบบ SECC ( Single Edge Contact Cartridge ) และใช้ Interface แบบ Slot-1 ... เจ้าตัวนี้ ได้ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1997

Deschutes เป็น Pentium II ตัวถัดมา ซึ่งได้พัฒนาขึ้นจาก Klamat เดิม โดยลดขนาดการผลิตลงมาเหลือเพียง 0.25 ไมครอน และใช้ไฟเลี้ยง 2.0 Volt. มีรุ่นความเร็วตั้งแต่ 266 MHz ถึง 450 MHz ใช้ FSB 66 MHz ( สำหรับรุ่น 266, 300, 333 MHz ) และ FSB 100 MHz ( สำหรับรุ่น 350, 400, 450 MHz ) มี Cache ระดับ 1 ขนาด 32 K และ Cache ระดับ 2 ขนาด 512K เหมือนๆ กับรุ่น Klamat และยังคงใช้งานบน Interface แบบ Slot-1 โดยเริ่มวางตลาด เมื่อ 26 มกราคม ปี ค.ศ. 1998 ต่อมาในช่วงหลังๆ ทาง Intel ก็ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างของ CPU Pentium II รุ่นนี้อีกเล็กน้อย แต่ยังคงใช้ Core เดิม เพียงแต่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ทางกายภาพภายนอก กล่าวคือ เปลี่ยนมาใช้ Cartridge ที่หุ้ม PCB ของ CPU ใหม่ เป็น SECC2 ซึ่งเปิดแผง PCB ด้านหลังโล่ง เพื่อลดต้นทุนการผลิตลงอีก และมีการวางตำแหน่งของ Cache ระดับ 2 ไว้ที่ PCB ด้านเดียว ( จากก่อนหน้านี้จะวางไว้ทั้ง 2 ด้านเลย ) รวมถึงมีการเปลี่ยนตัวยึดพัดลมและฮีทซิงค์ใหม่อีกด้วย

Tonga ชื่อนี้ คงไม่ค่อยคุ้นหูคุ้นตากันสักเท่าไร ผมเองก็เพิ่งเคยเจอก็คราวที่เขียนบทความนี้ละครับ .. จากข้อมูล ก็พบว่า เจ้า Tonga นี้ คือ Pentium II สำหรับเครื่อง Notebook นั่นเองครับ ( Mobile Pentium II ) ซึ่งทาง Intel นั้น ไม่ได้เน้นถึงชื่อของมันสักเท่าไร เพราะฉะนั้นเราๆ ท่านๆ ถึงได้ไม่คุ้นชื่อมันละครับ เจ้า Tonga นี้ ใช้ Core เดียวกันกับ Pentium II Deschutes คือใช้เทคโนโลยีการผลิต ขนาด 0.25 ไมครอน มีความเร็วตั้งแต่ 233 MHz ถึง 300 MHz และมากกว่านั้น ใช้ FSB 66 MHz เท่าๆ กัน ใช้บรรจุภัณฑ์ แบบ Mini Cartridge Connector และ Mobile Module Connector 1 และ 2 ( MMC-1 และ MMC-2 ) ... ปรากฏโฉม เมื่อวันที่ 2 เมษายน ปี ค.ศ. 1998

Katmai หรือ Pentium !!! รุ่นแรก ... เป็นรุ่นที่พัฒนาต่อมาจาก Deschutes โดยสถาปัตยกรรมหลักๆ นั้นก็ยังคงใช้จาก Deschutes เช่นเดิม หากแต่มีการเพิ่มเติมชุดคำสั่งเพื่อช่วยในการประมวลผลด้านต่างๆ เข้าไปอีก ที่เรียกว่า SSE ( Screaming Cindy .. อุ๊ป .. Streaming SIMD Extension ) ซึ่งนอกจากจะทำงานร่วมกับชุดคำสั่ง MMX เดิมแล้ว ก็ยังช่วยในการทำงานด้านต่างๆ อีกด้วย โดยยังคงใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.25 ไมครอนเท่าเดิม มีตั้งแต่รุ่น 450 MHz ถึง 600 MHz ( ใช้ FSB 100 MHz ) มี Cache ระดับ 2 ขนาด 512K ทำงานด้วยความเร็วเท่ากับ FSB อยู่ในบรรจุภัณฑ์ แบบ SECC-2 ต่อมาทาง Intel ได้เลื่อนกำหนดการเปิดตัว Coppermine ออกไป จึงได้ส่ง Pentium !!! Katmai แต่ใช้ FSB 133 MHz ลงตลาดแทน โดยสถาปัตยกรรมหลักอื่นๆ นั้น ก็ยังคงเดิม เปลี่ยนเพียงแค่ FSB ที่ใช้เท่านั้น มีอยู่ 2 รุ่น คือ 533 MHz และ 600 MHz โดยใช้ตัวอักษร "B" ต่อท้ายเลขความเร็วของ CPU เพื่อป้องกันความสับสนกับรุ่นก่อนหน้านี้ ( เป็น 533B MHz และ 600B MHz ) และเริ่มวางตลาดในราวเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1999

Celeron เจ้า CPU ตัวนี้ ถือว่าเป็นการปฏิวัติรูปแบบการตลาดของ Intel เลยก็ว่าได้ เพราะจากที่ปล่อยปะละเลยตลาดระดับล่าง ให้เจ้าอื่นๆ ถลุงกันเป็นว่าเล่น โดยที่ตัวเองกลับไปเน้นแต่ตลาดระดับบนซึ่งมีลูกค้าน้อยกว่าตลาดระดับล่าง มาคราวนี้ทาง Intel ก็เลยต้องลุยตลาดระดับล่างด้วย โดยอาศัย CPU ราคาถูก ที่ตัดเอาส่วนที่มีราคาแพงของ Pentium II ออกไป นั่นก็คือ Cache ระดับ 2 นั่นละครับ ผลที่ได้ก็คือทำให้ราคานั้นถูกลงมากว่าครึ่งเลยละครับ ( ที่ความเร็วเท่าๆ กัน ) แม้ต่อมาจะได้มีการเพิ่มเติม Cache ระดับ 2 ใส่เข้าไปบ้าง แต่ก็ใส่ในจำนวนน้อย ก็ทำให้ราคาที่เพิ่มนั้นไม่สูงขึ้นมาอีกเท่าไร ... CPU ในตระกูล Celeron นี้หลายตัวด้วยกัน ทั้ง Covinton, Mendocino และ Dixon โดย CPU Celeron ตัวแรกนั้นลืมตาดูโลกเมื่อราวๆ เมษายน ปี ค.ศ. 1998 และก็มีทั้งที่ใช้ Interface แบบ Slot-1 แบบ Pentium II, Pentium !!! และแบบที่ใช้ Interface แบบ Socket 370

Covington ลงลุยสนามเมื่อวันที่ 15 เมษายน ปี ค.ศ. 1998 จัดเป็น CPU ในตระกูล Celeron ตัวแรก ซึ่งใช้สถาปัตยกรรมภายแบบเดียวกับ Pentium II Deschutes ซึ่งใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.25 ไมครอน และมีวางตลาดอยู่ด้วยกัน 2 รุ่น คือ 266 และ 300 MHz ใช้ FSB 66 MHz มี Cache ระดับ 1 ขนาด 32 K แต่ไม่มี Cache ระดับ 2 เลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งใน และ นอก CPU เพื่อลดต้นทุนในการผลิต ใช้ไฟเลี้ยงขนาด 2.0 V. ใช้ Interface แบบเดียวกับ Pentium II คือ Slot-1 แต่ใช้บรรจุภัณฑ์ต่างจาก Pentium II นิดหน่อย คือไม่มีตลับ Cartridge พลาสติกหุ้มแผง PCB แต่อย่างใด ... เรียกบรรจุภัณฑ์แบบนี้ว่า SEPP ( Single Edge Pin Package ) ด้วยความที่มันไม่มี Cache ระดับ 2 นี่เอง แม้ว่าจะใช้ Core เดียวกับ Pentium II Deschutes และมีราคาถูกก็จริง แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะประสิทธิภาพโดยรวมนั้น ไม่ประทับใจแฟนๆ เท่าไร กับเกมส์นั้น ก็จัดว่าดี แต่กับ Application อื่นๆ โดยเฉพาะพวก Office Application ต่างๆนั้น ทำได้แย่เอามากๆ .. ดังนั้น มันจึงไม่เป็นที่นิยมนัก

Mendocino หลังจากที่ไม่ประสบความสำเร็จกับ Covington ทาง Intel จึงได้แก้ไขจุดบกพร่องที่เกิดขึ้น โดยคราวนี้ ก็ได้ใส่เอา Cache ระดับ 2 เข้าไว้ด้วย แต่ถ้าใส่มาก ก็จะทำให้ราคาแพงมากเช่นกัน ดังนั้นทาง Intel จึงใส่เพียง 128K เท่านั้น แต่เอาไปใส่ไว้บนแผ่น Die เดียวกันกับ CPU เลย เรียกว่า On-Die L 2 Cache ทำให้มันทำงานด้วยความเร็วเท่าๆ กันกับ CPU เลย ( ต่างกับ Cache ของ Pentium II ที่ทำงานด้วยความเร็วเป็นครึ่งหนึ่ง ของ CPU ) เริ่มลุยตลาดเมื่อ 8 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1998 ในช่วงแรกนั้น Mendocino ที่วางจำหน่าย ก็ยังคงใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.25 ไมครอน ใช้บรรจุภัณฑ์แบบ SEPP และใช้ Interface แบบ Slot-1 เช่นเดิม ( ตั้งแต่รุ่น 300A - 433 MHz ... Intel ได้ใช้ตัวอักษร A ต่อท้ายความเร็ว เพื่อแยกความแตกต่างกับ Celeron รุ่นเก่า Covington ) แต่ต่อมา ก็ได้หันมาใช้บรรจุภัณฑ์แบบใหม่ที่เรียกว่า PPGA ( Plastic Pin Grid Array ) และหันมาใช้ Interface เป็นแบบ Socket 370 pin แทน ซึ่ง Celeron ที่เป็น PPGA ยังคงใช้ไฟเลี้ยง 2.0 Volt เช่นเดิม โดยเริ่มที่ความเร็ว 300A เช่นกันและ ณ ปัจจุบัน ( ไตรมาสแรกของปี 2000 ) ก็มาถึงระดับความเร็ว 533 MHz แล้ว ทาง Intel นั้นได้พยายามหันมาให้ Celeron ใช้งานบน Socket 370 แทน โดยค่อยๆ เริ่มการแทนที่ไปเรื่อยๆ จน ณ ปัจจุบันนี้ก็ยกเลิกสายการผลิต Celeron แบบที่เป็น SEPP ( Slot-1 ) ไปเรียบร้อยแล้ว

Dixon ก็คือ Celeron ที่พัฒนาขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง แต่ว่ารุ่นนี้ใช้สำหรับ Mobile PC ครับ ( ก็เครื่อง Notebook นั่นหละ ) ใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.25 ไมครอน มี Cache ระดับ 1 ขนาด 32KB และมี Cache แบบ On-Die เช่นเดียวกับ Mendocino แต่ต่างกันตรงที่ว่า Dixon นั้น มี Cache ระดับ 2 มากกว่า Mendocino เป็นเท่าตัวครับ คือมี 256 K มีความเร็วเริ่มต้นที่ 300 MHz ( 300A ) ถึง 500 MHz ใช้ FSB เป็น 66 MHz

Coppermine ( SECC-2 ) คือ Pentium !!! รุ่นใหม่ ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตเหลือเพียง 0.18 ไมครอน ใช้ไฟเลี้ยง 1.65 Volt และได้มีการรวมเอา Cache ระดับ 2 เข้าไว้ใน Chip ของ CPU ขนาด 256KB ( เรียก On-Chip Cache ) ซึ่งจะทำให้ Cache นั้น ทำงานด้วยความเร็วเท่าๆ กับ CPU เลย Interface ที่ใช้นั้น ก็มีทั้งที่เป็น Slot-1โดยใช้บรรจุภัณฑ์แบบ SECC-2 ซึ่งรุ่นนี้นั้นก็เริ่มตั้งแต่ความเร็ว 533 MHz ( 533EB MHz ) และ รุ่นที่ใช้กับ Socket 370 ใหม่ ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป Coppermine นั้น มีทั้งรุ่นที่ใช้ FSB 133 MHz และ 100 MHz ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ ทำความเร็วได้ถึงระดับ 1 GHz แล้ว ซึ่งก็คาดว่าจะวางจำหน่ายจริงๆ ในครึ่งปีหลังนี้ และรุ่นนี้ ก็จะเป็นรุ่นสุดท้ายแล้ว สำหรับ Interface แบบ Slot-1

Coppermine ( FC-PGA ) เป็น CPU Coppermine ที่หันกลับมาใช้ Interface แบบ Socket อีกครั้ง เพื่อลดต้นทุนในการผลิต ทำให้ราคานั้นต่ำกว่า รุ่นที่ใช้ Interface แบบ Slot-1 อยู่บ้าง ... คำว่า FC-PGA นั้น มาจาก Flip-Chip Pin Grid Array ซึ่งมีการจัดวางตำแหน่งของ Pin ใหม่ ทำให้มันใช้งานกับ Socket 370 เดิม ที่ใช้กับ Celeron ไม่ได้ ( ซึ่งปัจจุบัน ผู้ผลิต Mainboard ต่างๆ ก็ได้ทำการ Modify ตรงนี้แล้ว เพื่อจะได้รองรับทั้ง 2 แบบนี้ ) Coppermine รุ่น FC-PGA นี้ ก็มีทั้งรุ่นที่ใช้ FSB 100 และ 133 MHz โดยเริ่มต้นที่รุ่น 500 MHz ( 500E MHz ) ซึ่งรุ่นที่มีความเร็วต่ำกว่า 600 MHz นั้น จะไม่รองรับการทำงานแบบ SMP ( Symmetric Multi-Processor ) ด้วย ... CPU รุ่นนี้นั้น ใช้ไฟเลี้ยงน้อยกว่าแบบ SECC-2 คือ ใช้เพียง 1.60 Volt เท่านั้น

Tualatin ก็คือ Pentium!!! อีกเช่นเคย หากแต่เปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิต ลดขนาดมาเหลือ 0.13 ไมครอน โดย ทาง Intel จะออกรุ่นนี้ มาเป็นตัวช่วยลดช่องว่าง ระหว่าง Pentium!!! Coppermine กับ Pentium4 Willamette นั่นเอง โดยมีทั้งรุ่นที่ใช้กับ Desktop PC ( รุ่น 1.13 และ 1.2 GHz ) จะออกสู่ท้องตลาด ในราวไตรมาสที่ 3 ของปี ค.ศ. 2001 โดยเจ้า Tualatin ในรุ่นนี้นั้น นอกจากขนาดของเทคโนโลยีการผลิตที่เล็กลงแล้ว ก็แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไปจาก Coppermine เดิมเลย .. ส่วน Tualatin ในรุ่น Mobile PC นั้น จะต่างจากเดิมนิดหน่อย เพราะจะเริ่มกันที่ระดับความเร็ว 1.06 GHz และ มี Cache ระดับ 2 ที่มากกว่าแบบ Desktop คือ 512KB อีกด้วย
Coppermine 128K ดูจากชื่อแล้ว อาจทำให้แปลกใจเอาเหมือนกันนะครับ เพราะจริงๆ แล้ว ชื่อนี้ ก็ยังไม่เป็นทางการนัก บ้างก็เรียกว่าเป็น Celeron III ด้วยซ้ำ เพราะว่ามันก็คือ Celeron ที่ลดขนาดการผลิตเหลือเพียง 0.18 ไมครอน และจับเอาชุดคำสั่ง SSE ที่มีใน Pentium !!! มาใส่รวมไว้ด้วยนั่นเอง หรืออาจจะมองว่าเป็น Pentium !!! Coppermine ที่ลดขนาดของ Cache ระดับ 2 ลงเหลือ 128K แล้วใช้ Interface และ บรรจุภัณฑ์แบบเดียวกับ Celeron คือ เป็น PPGA 370 ก็ได้ละครับ ... คาดว่า น่าจะมีการเปิดตัวในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ประมาณช่วงปลายๆ ไตรมาสแรกของปี ค.ศ. 2000 ด้วยความเร็วระดับ 566 MHz โดยเจ้า Celeron รุ่นนี้ จะยังคงใช้ FSB เป็น 66 MHz จนกระทั่งถึงรุ่น 766 MHz และหลังจากนั้น คือรุ่น 800 MHz เป็นต้นไป จะหันมาใช้ FSB เป็น 100 MHz แล้วละครับ

Celeron Tualatin เป็นชื่ออย่างไม่เป็นทางการของ Celeron รุ่นใหม่ ที่ลดขนาดของเทคโนโลยีการผลิต เหลือเพียง 0.13 ไมครอน ใช้สถาปัตยกรรมแกนหลัก คือ Tualatin นั่นเอง โดยรุ่นนี้ จะใช้ FSB เป็น 100 MHz และมี Cache ระดับ 2 ขนาดใหญ่กว่าเดิม คือ 256 KB อีกด้วย ... จะมีความเร็วเริ่มต้น กันที่ระดับ 1 GHz เลยทีเดียว ... เจ้า CPU ตัวนี้ บ้างก็มองว่า จริงๆ แล้วก็คือ Pentium!!! Tualatin ที่ทาง Intel เขี่ยมาเล่นในตลาดระดับล่างแทน เพื่อยกตลาดระดับกลางและสูงให้กับ Pentium4 ต่อไปนั่นเอง

Timna ชื่อแปลกชื่อนี้ จริงๆ แล้ว ก็คือ Coppermine 128K ข้างต้นนี้เอง แต่มันไม่ได้เป็นเพียง CPU อย่างเดียว เพราะได้มีการรวมเอา ส่วนประมวลผลด้าน Graphic และส่วนควบคุมหน่วยความจำเข้าไว้ใน Chip เดียวกันเลย มองง่ายๆ มันก็คือ เป็นทั้ง CPU และ Chipset และ Graphic Chip ในตัวเดียวกันเลยละครับ ซึ่งเมื่อรวมเอาทุกๆ อย่างเข้าไว้ด้วยกันอย่างนี้ ก็ลดต้นทุนการผลิตลงได้อีกไม่น้อย ดังนั้น เจ้า Timna นี้ ทาง Intel จึงหมาย จะเอามันมาลุยในตลาดระดับล่าง ใช้งานกับเครื่อง PC ราคาถูก มีความเร็วเริ่มต้นที่ 667 MHz ... ปัจจุบัน โครงการณ์ Timna นี้ ก็ได้ยกเลิกไปแล้วละครับ

Timna 2 เกิดจากความที่ทาง Intel ยังไม่อยากยอมแพ้กับ Integrated Processor หรือ Timna และด้วยการมองตลาดไปข้างหน้า พบว่า กระแสของ Notebook ที่จะใช้ CPU ประเภทนี้ มีโอกาสสูงมาก ทำให้เกิดโครงการณ์ Timna2 ขึ้นมาอีกครั้ง โดยที่เจ้า Timna2 นี้ จะใช้สถาปัตยกรรมแกนหลักเดิมของ Pentium !!! ( Coppermine ) แต่ได้เพิ่มเติมในส่วนของการคำนวนเชิงตรรก หรือ ALU ให้มากขึ้น และหันมาใช้เทคโนโลยีการผลิต 0.13 ไมครอน ผนวกกับ Speedstep นอกจากนั้น ยังให้มี Cache ระดับ 2 มากขึ้น เป็น 512 KB และรวมเอาชุดคำสั่ง SSE2 ที่มี ใน Pentium 4 เข้าไปอีกด้วย ที่สำคัญ จะใช้งานกับ DDR SDRAM ละครับ

Xeon คือ CPU ที่ Intel เน้นมาให้ใช้งานเป็น Server / Workstation เป็นหลัก แทน Pentium Pro และได้มีการเปลี่ยน Interface ใหม่อีก มาใช้เป็น Slot-2 ซึ่งเจ้า Xeon นี้ สามารถทำงานแบบ Multi-Processor ได้ ( คือสามารถใช้ CPU รุ่นนี้หลายๆ ตัว พร้อมๆ กันบน Mainboard เดียวกันได้ เพื่อช่วยแบ่งโหลดของงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลขึ้นอีก ) Xeon รุ่นแรกนี้ จะใช้

Deschutes Core เหมือนๆ กับ Pentium II ใช้เทคโนโลยีการผลิต ขนาด 0.25 ไมครอน มี Cache ระดับ 2 ที่ทำงานด้วยความเร็วเดียวกัน กับ CPU เลย ด้วยขนาดตั้งแต่ 512, 1024 และ 2048K แต่ว่า มี Cache ระดับ 1 เพียงแค่ 32 K ซึ่งราคาของ Xeon นี้ ก็สูงเอามากๆ ยิ่งรุ่นที่มี Cache มากๆ ก็ยิ่งแพงจนแทบจะดาวน์รถยนต์กันแบบผ่อนสบายๆ ได้เลยละครับ

Tanner ก็คือ Xeon ภาค Pentium !!! เพราะว่า ใช้ Core ใหม่ คือ Katmai Core ซึ่งจากที่กล่าวไปแล้ว ก็คือว่ามันคือ Deschutes ที่รวมเอาชุดคำสั่งพิเศษ ที่เรียกว่า Streaming SIMD Extension หรือสั้นๆ ว่า SSE เข้าไปนั่นเอง ซึ่ง CPU รุ่นนี้ ก็จะใช้งานในระดับ Hi-End Server ละครับ ด้วยความเร็วเริ่มต้นที่ ระดับ 500 MHz ( FSB 100 MHz ) และก็เหมือนกับ Xeon รุ่นแรก ก็คือมีขนาดของ Cache ระดับ 2 ( ซึ่งเป็น CSRAM ) ให้เลือก 3 ขนาดด้วยกัน คือ 512, 1024 และ 2048K ครับ

Cascades เจ้าตัวนี้ ก็คือ Xeon ภาค Coppermine นั่นละครับ เพราะใช้เทคโนโลยีในการผลิตขนาด 0.18 ไมครอน และได้รวมเอา Cache ระดับ 2 เข้าไว้ ใน Chip เรียกเป็น On-Chip Cache ด้วยขนาด 256KB เท่าๆ กับ Pentium !!! Coppermine เลยละครับ แต่ว่า เขาใช้กับ Slot-2 ละครับ ... ซึ่งรุ่นแรกนั้น มีความเร็ว 600 MHz ใช้ FSB 133 MHz และที่สำคัญใน Version แรกๆ นั้น จะต้องใช้งาน CPU เป็นคู่ครับ ถึงจะใช้งานได้ ... คาดว่าในไตรมาสแรกของปี 2000 นี้ ก็จะทำความเร็วได้ถึง 866 MHz และเพิ่มระดับของ Cache ระดับ 2 ได้มากถึง 2048K ละครับ

Willamette Pentium 4 ตัวแรก ..จะเป็น CPU ที่พัฒนาต่อจาก Coppermine โดยยังคงเป็น CPU ในสถาปัตยกรรมแบบ IA-32 อยู่เช่นเคย มีการใช้ System Bus แบบใหม่ ที่เรียกว่า Quad Pumped กล่าวคือ แม้จะใช้ความเร็วบัสของระบบเป็น 100 MHz แต่ว่า ความเร็วบัสภายในของ CPU จะเป็นถึง 400 MHz เลยละครับ ... เจ้า Willamette นี้ แรกเริ่มเดิมที ก็ว่าจะมาพร้อมๆ กับ Cache ระดับ 1 ขนาด 256K และมี Cache ระดับ 2 ในระดับ 1024K หรือน้อยกว่า ... แต่พอเปิดตัวมาจริงๆ ภายใต้ชื่อของ Pentium 4 ก็หันมาใช้ Cache ระดับ 1 ขนาด 64 KB และมี Cache ระดับ 2 เพียง 256 KB เกือบๆ จะเหมือนกับ Pentium!!! เลยด้วยซ้ำละครับ นอกจากนี้ ทาง Intel ก็ยังได้ทำการปรับปรุงในส่วนของการประมวลผลต่างๆ ด้วย ทั้งการเพิ่ม Buffer หรือ เพิ่มหน่วยการถอดรหัส เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ยิ่งขึ้นไปอีก หรือก็คือได้ทำการปรับปรุงชุดคำสั่ง Screaming Cindy อุ๊บ Streaming SIMD eXtension หรือ SSE ซะใหม่ เป็นรุ่นที่ 2 หรือ SSE2 ซึ่งก็มีการล้อเลียนว่า เป็น Screaming William โดยในรุ่นแรกๆ นั้น ทาง Intel จะยังคงใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.18 ไมครอน แต่ในรุ่นถัดไปนั้น จะลดขนาดลงมาอีก ให้เหลือเพียง 0.13 ไมครอนเท่านั้น ซึ่งความเร็วเริ่มต้นของมัน ก็คาดว่าจะเริ่มกันที่ 1 GHz หรือมากกว่าเลยละครับ และอาจใช้งานบน Interface ใหม่ ที่ ณ ขณะนี้เรียกว่าเป็น Socket 423 ครับ .. ส่วนกำหนดการวางตลาดนั้น ก็เริ่มวางตลาดตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี ค.ศ. 2001 .. โดยเริ่มต้นความเร็วกันที่ 1.3 GHz และ รุ่นนี้ ทาง Intel จะให้หมดที่ความเร็ว 2.0 GHz

Northwood เป็น Pentium4 ในรุ่นที่ 2 ที่คาดว่าจะเริ่มออกสู่ตลาดในราวไตรมาสสุดท้ายของปี ค.ศ. 2001 หรือต้นปี ค.ศ. 2002 โดยเป็น CPU ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตด้วยขนาด 0.13 ไมครอน มีการเพิ่มขนาดของ Cache ระดับ 2 ให้ใหญ่ขึ้นเป็น 512KB และหันไปใช้ Interface ใหม่อีก ที่เรียกว่า Socket 478 มีความเร็วเริ่มต้นกันที่ 2.2 GHz CPU ตัวนี้ ข้อมูลยังไม่แน่ชัดเท่าไรนัก บ้างก็บอกว่าเป็น CPU Willamette ที่เป็น Version สำหรับเครื่อง Mobile PC ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.13 ไมครอน แต่บ้างก็บอกว่าเป็น CPU ที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบ IA-64 ( Willamette เป็น IA-32 ) ที่มีความเร็วเริ่มต้นที่ 2 GHz หรือมากกว่า ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวกันในช่วงปี 2001 ( ราวๆ ปลายปี )
Foster เป็น Willamette สำหรับ Server ครับ มาแทนที่ตระกูล Xeon ทั้งหลาย โดยจะเป็น CPU สำหรับ Server ที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบ IA-32 ตัวสุดท้ายของ Intel ก่อนที่จะขยับไปใช้ IA-64 แทน โดยจะรองรับความเร็วบัสของระบบ ( FSB ) ที่มากถึง 400 MHz .. มีขนาดของ Cache ระดับ 1 และ ระดับ 2 ที่มากกว่า Willamette อย่างเห็นได้ชัด และจากข้อมูลล่าสุด ก็พบว่า Foster นี้ อาจจะมาพร้อมๆกับ Cache ระดับ 3 ขนาด 512KB และ 1MB อีกด้วย โดยมีความเร็วเริ่มต้นกันที่ระดับ 1.6 GHz โดยคาดว่า จะออกสู่ท้องตลาดในราวไตรมาสสุดท้ายของปี ค.ศ. 2001 ... นอกจากนี้ ยังมีข่าวลือว่าอาจจะหันไปใช้ Interface แบบใหม่ ( อีกแล้ว ) ที่เรียกว่า Slot-M ซึ่งจะรองรับ การใช้งานร่วมกันได้มากถึง 4 และ 8-way เลยทีเดียว

Itanium/Merced Itanium หรือเดิมมีชื่อว่า Merced ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีนั้น ก็คาดว่าจะเป็น CPU ตัวใหม่ ที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบ IA-64 .. แต่สุดท้าย ในงาน IDF เมื่อราวเดือนกุมภาพันธ์ ปีค.ศ. 2001 ทาง Intel ก็ได้ประกาศแน่ชัดแล้วว่า ชื่อ Itanium นี้ จะเป็นชื่อที่เรียกรวมๆ ของ CPU ที่ใช้ สถาปัตยกรรมแบบ IA-64 นั่นเอง เหมือนๆ กับที่เรียก ทั้ง Katmai, Coppermine หรือ Tualatin รวมๆ ว่าเป็น Pentium !!! นั่นเองละครับ ... โดย CPU ในสาย Itanium ตัวแรกนี้ ก็คือ McKinley นั่นเอง

McKinley เป็น CPU ในสาย Itanium ตัวแรกของสถาปัตยกรรมแบบ IA-64 ซึ่ง เป็น CPU ที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบ IA-64 ตัวแรกของทาง Intel ในสาย Itanium โดยที่ในส่วนของ Hardware นั้น ก็จะยังคงสนับสนุนระบบ IA-32 ด้วย จะมาพร้อมๆ กับหน่วยความจำ Cache ระดับ 3 ขนาด 2-4 MB ซึ่งให้ประสิทธิภาพโดยรวมที่เร็วกว่า Tanner ถึง 3 เท่า และอาจให้ประสิทธิภาพที่เหนือกว่า Pentium Pro ในด้านการประมวลผลเชิงทศนิยมถึง 20 เท่าเลยละครับ รุ่นแรกๆ ของ McKinley นี้ อาจยังคงใช้เทคโนโลยีในการผลิตขนาด 0.18 ไมครอน ใช้ความเร็วบัสของระบบเป็น 400 MHz ( QDP ) ใช้งานบน Interface แบบ Slot-M และแน่นอน มีชุดคำสั่งทั้ง MMX และ SSE พร้อม SSE- 2 คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงครึ่งปีแรกของปี ค.ศ. 2002 โดยเริ่มต้นด้วยความเร็วระดับ 1 GHz หรือมากกว่า และในรุ่นถัดๆ ไป ก็จะลดลงเหลือ 0.13 ไมครอน ใช้งานอยู่บน Interface แบบ Slot-M และใช้งานกับ Chipset i870 ( Colusa ) เช่นเดียวกับ Foster ครับ

Deerfield CPU ในตระกูล IA-32 อีกที ซึ่งจะเป็น CPU ที่จะมาแทน Pentium4 ( Pentium5 ? ) โดยจะใช้เทคโนโลยีการผลิตด้วยขนาด 0.13 ไมครอน และใช้ทองแดง เป็นตัวเชื่อมต่อภายใน ( Copper Interconnect ) .. จะเริ่มลุยตลาดในราวปี ค.ศ. 2005

Madison ก็คือ Deerfield ในภาคของ Server นั่นเอง .. โดยจะมาแทนที่ CPU ในสาย Xeon ( Foster ) ซึ่งจะออกสู่ท้องตลาดในปีค.ศ. 2005 เช่นเดียวกันกับ Deerfield

Gallatin ชื่อนี้ ยังคงเป็นปริศนาอยู่ครับ ทราบแค่เพียงว่า จะเป็น CPU สำหรับ Server/Workstation ที่จะมาในต้นปี ค.ศ. 2002 ครับ สำหรับ Intel ก็คงหมดกันที่เท่านี้ครับ ต่อไปเรามาดูของเจ้าอื่นๆกันต่อบ้างนะครับ :)










AMD กับคู่รัก คู่แค้นตลอดกาลกับทาง Intel
... จนแทบจะเรียกได้ว่า เจ้าอื่นๆ จะเป็นอย่างไร จะนำไปเท่าไร ข้าไม่ว่า อย่าให้เป็น Intel นำ เป็นพอ ... ทำนองนี้เลยละครับ

K5 หลังจากที่ทาง Intel นั้นได้เปลี่ยนรูปแบบของชื่อ มาใช้แบบที่ไม่เป็นตัวเลข ทาง AMD ก็เอาบ้างสิ โดยเจ้า K5 นี้ ทาง AMD ก็กะจะเอามาชนกันตรงๆ กับ Intel Pentium เลยทีเดียว ซึ่งจะใช้งานบน Socket 5 เหมือนๆ กับ Pentium ด้วย และเพื่อให้ผู้ใช้ไม่สับสนในเรื่องรุ่นของความเร็ว ก็เลยมีการนำเอา PR-Rating มาใช้ ในการเปรียบเทียบ ระดับความเร็ว เมื่อเทียบกับทาง Intel ซึ่งรุ่นนี้ก็มีตั้งแต่รุ่น 75 ถึง 166 MHz ใช้ความเร็วบัสของระบบที่ 50-66 MHz K5 นี้ ก็จะมีอยู่ด้วยกันถึง 4 Version ครับ แตกต่างกันไปนิดๆ หน่อย โดย Version แรกนั้น จะใช้เทคโนโลยีการผลิตด้วยขนาด 0.6 ไมครอน ก็คือ K5-75, 90,100 .. Version ที่ 2 นั้น จะใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.35 ไมครอน ได้แก่ K5-100 .. ส่วน Version ถัดมานั้นได้มีการปรับปรุง Core ใหม่อีกเล็กน้อย คือรุ่นK5-PR120 และ PR133 ส่วน Version สุดท้าย ก็คือ K5-PR166 ซึ่งใช้ตัวคูณที่แปลก แหวกแนวจากชาวบ้านเขา คือ คูณด้วย 1.75 ใช้งานบน FSB 66 MHz

K6 เป็น CPU ในรุ่นที่ 6 ของทาง AMD ซึ่งชิงเกิดก่อน Pentium II ของทาง Intel เพียงเดือนเดียว คือเริ่มวางจำหนายในเดือนเมษายน ปีค.ศ. 1997 ใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.35 ไมครอน เริ่มต้นด้วยความเร็ว 166 MHz จนถึง 233 MHz ซึ่งรุ่นหลังนี้ ก็ได้ลดขนาดการผลิตเหลือเพียง 0.25 ไมครอนด้วย K6 นี้ ใช้โครงสร้างสถาปัตยกรรมของ Nx686 ของทาง NexGen ซึ่งทาง AMD ซื้อบริษัทนี้เข้าไว้ตั้งแต่ก่อนออก K5 เสียอีก มีขนาดของ Cache ระดับ 1 ที่มากกว่า Intel Pentium MMX เป็นเท่าตัว คือมีถึง 64K ( Instruction Cache 32K และ Data Cache อีก 32K ) นอกจากนี้ยังได้รวมเอาชุดคำสั่ง MMX ของทาง AMD เอง เข้าไว้ด้วย ส่วนสถาปัตยกรรมโครงสร้างภายในนั้น ก็จะเป็นในรูปแบบของ RISC CPU ( Reduced Instruction Set Computer ) ใช้งานบน Socket 7 .. นอกเหนือไปจากนั้น ก็มี CPU ในสายนี้ แต่เป็น CPU สำหรับ Mobile PC นั้นคือ K6 Model 7 ที่มีระดับความเร็ว 266 และ 300 MHz ใช้ FSB 66 MHz ด้วยเทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.25 ไมครอน

K6-2 เป็น CPU ตัวใหม่ที่อยู่ในสายพันธุ์ที่ 6 เช่นเดิม เปิดตัวในราวๆ พฤษภาคม ค.ศ. 1998 ซึ่งโดยสถาปัตยกรรมหลักๆ แล้ว ก็จะยังคงคล้ายๆ กับทาง K6 เดิม เพียงแต่ได้มีการเพิ่มชุดคำสั่งที่ช่วยในการประมวลผลด้าน Graphic 3 มิติ ที่เรียกว่า 3DNow! เข้าไว้ด้วย โดย CPU รุ่นนี้ ยังคงใช้ Cache ระดับ 2 ที่อยู่บน Mainboard เช่นเคย ทำงานที่ความเร็วเท่าๆ กับ FSB และมีขนาดตั้งแต่ 512K จนถึง 2MB มีความเร็วเริ่มต้นที่ 266 MHz ใช้ FSB 66 MHz ส่วนรุ่นความเร็วถัดมา 300 MHz นั้น จะใช้ FSB เป็น 100 MHz CPU K6-2 นี้ มีอยู่ด้วยกัน 2 Version คือ Version แรก ที่ความเร็ว 266 (66x4), 300 (100x3), 333 (95x3.5), 350 (100x3.5) และ 366 (66x5.5) MHz ซึ่งเป็น Original Version เลย ส่วน Version ถัดมานั้น ทาง AMD ได้ทำการปรับปรุงสถาปัตยกรรมแกนหลักของ CPU ใหม่ โดยเฉพาะตรงส่วนของการจัดการกับ Cache เรียกว่า CXT Core ซึ่งก็ใช้ใน K6-2 รุ่นความเร็วตั้งแต่ 380 MHz เป็นต้นมา จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ถึงระดับความเร็ว 550 MHz แล้ว

Sharptooth (K6-III) ก็เป็นรุ่นที่มีการพัฒนาต่อจาก K6-2 อีกทีหนึ่ง โดยมาคราวนี้ ทาง AMD ได้จัดการเอา Cache ระดับ 2 รวมเข้าไว้ในตัว CPU เลย ด้วยขนาด 256 K ที่ทำงานด้วยความเร็วเดียวกันกับ CPU และยังคงใช้ได้กับ Interface แบบ Socket 7 เดิม เพราะฉะนั้นจึงมอง Cache ที่อยู่บน Mainboard เป็น Cache ระดับ 3 ( ซึ่ง K6-2 นั้นมองว่าเป็น Cache ระดับ 2 ) ไปโดยปริยาย ... ออกสู่ท้องตลาดเมื่อกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1999 มีออกมาจำหน่ายเพียง 2 รุ่น คือ 400 และ 450 MHz ... และปัจจุบัน ได้ยกเลิกสายการผลิต CPU Sharptooth นี้แล้ว

K6-2+ จะเป็น CPU ที่ใช้งานบน Socket 7 ตัวสุดท้ายของทาง AMD โดยจะเป็น CPU ที่มีคุณลักษณะต่างๆ คล้ายๆ กับเจ้า Sharptooth ที่ยกเลิกสายการผลิตไป เพียงแต่ว่า มีขนาดของ Cache ระดับ 2 เหลือเพียง 128K เท่านั้น และ CPU รุ่นนี้ จะเป็น CPU ที่ใช้ Socket 7 ตัวแรกด้วยที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.18 ไมครอน เริ่มต้นด้วยความเร็ว 533 MHz คาดว่าจะเปิดตัวในราวๆ ไตรมาสแรกของปี ค.ศ. 2000 นี้ ... สำหรับ CPU รุ่นนี้ บางแหล่งข่าวก็บอกว่าจะมีเฉพาะรุ่นทีใช้กับ Mobile PC เท่านั้น แต่บางแหล่ง ก็บอกว่ามีทั้ง 2 แบบเลย คือรุ่นที่ใช้กับ Mobile PC และรุ่นที่ใช้กับ Desktop PC ...

K6-III+ เป็นรุ่นที่พัฒนามาแทนที่ K6-III เดิม เพราะรายละเอียดแทบทุกอย่างจะเหมือนเดิมทั้งสิ้น เพียงแต่ใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.18 ไมครอน ส่วนที่เหลือ ก็คือี Cache ระดับ 2 มีขนาดเป็น 2 เท่าของ K6-2+ คือ 256K และที่สำคัญจะมีเฉพาะรุ่นที่เป็น Mobile PC เท่านั้น สำหรับ K6-2+ และ K6-III+ สำหรับ Mobile PC นั้น จะมีคุณสมบัติใหม่ที่เรียกว่า PowerNow! หรือเดิมชื่อ Gemini ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการประหยัดพลังงาน คล้ายๆ กับเทคโนโลยี SpeedStep ของทาง Intel ด้วยครับ

K7 / Athlon เป็น CPU ตัวแรกของทาง AMD ที่พัฒนาขึ้นโดยใช้สถาปัตยกรรมของตัวเองทั้งสิ้น เพื่อแย้งข้อครหาที่ว่าพัฒนา CPU ตามหลัง Intel มาตลอด โดยเจ้า Athlon นี้ เป็น CPU ที่มีขนาดของ Cache ระดับ 1 ที่มากที่สุดในท้องตลาดปัจจุบันนี้ นั่นก็คือ 128 K ( Instruction 64K และ Data 64K ) มี Cache ระดับ 2 อยู่ใน Package เดียวกันกับ CPU ทำงานด้วยความเร็วเป็นครึ่งหนึ่ง และ 2/5 ของความเร็วของ CPU ... มีการนำเอาระบบบัสที่ใช้กับ Processor Alpha มาใช้ กับ Athlon ด้วย คือ EV6 Bus ซึ่งโดยทฤษฎีแล้ว ก็สามารถสร้าง Mainboard ให้รองรับ Processor ทั้ง 2 แบบนี้ได้เลยละครับ คือทั้ง Alpha และ Athlon ใช้งานบนบัสของระบบที่ 100 MHz แต่ด้วยคุณสมบัติของ EV6 Bus ก็จะทำให้ระบบบัสภายในของ CPU นั้นเป็นเท่าตัวของบัสของระบบ คือเป็น 200 MHz และคาดว่าต่อไปน่าจะทำได้สูงถึง 400 MHz หรือมากกว่านี้อีกด้วย Athlon นี้จะมาพร้อมๆ กับชุดคำสั่ง MMX และ 3DNow! รุ่นพัฒนา ( เรียกว่า Enhance 3DNow! ) ใช้งานบน Interface ใหม่ของทาง AMD เอง เรียกว่า Slot-A มีความเร็วเริ่มต้นที่ 500 MHz

Argon เป็นชื่อ Codename ของสถาปัตยกรรมแกนหลักของ Athlon

Thunderbird (Athlon) หรือ เดิมมีชื่อเรียกว่า "Professional Athlon" ก็จะเป็น CPU ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.18 ไมครอน โดยจะมี Cache ระดับ 2 แบบ On-Chip ทำงานด้วยความเร็วเดียวกันกับ CPU ที่ขนาด 512K และเจ้า Thunderbird นี้ จะเป็น CPU ตัวสุดท้ายที่ใช้งานบน Slot-A โดยรุ่นแรกๆ นั้นจะยังคงใช้งานบน Slot-A แต่รุ่นต่อๆ มาจะหันไปใช้งานบน Socket A ซึ่งเป็น Interface ใหม่ของทาง AMD .. เปิดตัวรุ่นตัวอย่างเป็นครั้งแรกที่งาน ISSCC'2000 ( International Solid-State Circuits Conference ) ที่จัดขึ้นในราวต้นเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2000 นี้เอง ด้วยความเร็วที่นำมาแสดง คือ 1.1 GHz และคาดว่าจะเริ่มการจำหน่ายจริงๆ ในราวไตรมาสที่ 2 ของปี ค.ศ. 2000 นี้ ... จากข้อมูลล่าสุด พบว่าในรุ่นแรกที่วางตลาดนั้น จะมี Cache ระดับ 2 เพียง 256K และมี Cache ระดับ 1 ที่ขนาด 128K ... Thunderbird นี้ จะมีทั้งรุ่นที่ใช้งานกับ Slot-A และกับ Socket A ครับ

Palomino (Athlon) Athlon รุ่นใหม่ ( Socket A ) ที่ยังคงใช้เทคโนโลยีการผลิตด้วยขนาด 0.18 ไมครอน ใช้ทองแดงเป็นตัวเชื่อมต่อภายใน ( Copper Interconnect ) แต่จะมีความเร็วเริ่มต้นที่ 1.4 GHz เลยทีเดียว และหันมาใช้ FSB เป็น 266 MHz ( DDR ) นอกจากนี้ ก็ยังได้พัฒนา และ ปรับปรุงขึ้น จาก Thunderbird อีกมากมาย ทั้งเรื่องของ Branch Prediction หรือเรื่องของความร้อนในขณะทำงาน ที่ลดน้อยลงกว่าเดิม หรือเรื่องของ Hardware Prefetch นอกจากนี้ก็ยังได้ทำการ Optimize ในส่วนของแกนหลัก ทั้งพัฒนาในส่วนของ FPU ( หน่วยประมวลผลเชิงทศนิยม ) และ ALU ( หน่วยประมวลผลเชิงตรรก ) อีกด้วย.. คาดว่าจะเริ่มต้นสุ่มตัวอย่างผลิต ในต้นปีค.ศ. 2002 และเริ่มจำหน่ายจริง ในไตรมาสถัดไป แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจมากๆ ก็คงไม่พ้นข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับทาง AMD ซึ่งได้ให้ข้อมูลว่า เจ้า Palomino นี้ จะเป็น CPU ของ AMD ตัวแรก ที่เอาชุดคำสั่งของ Intel SSE หรือ Streaming SIMD Extension ( Katmai ) มาใช้ โดยที่เราๆ ท่านๆ ก็ได้ทราบกันดีอยู่แล้วนะครับ ว่าชุดคำสั่งดังกล่าว เป็นชุดคำสั่งที่ทาง Intel ได้จดลิขสิทธิ์เอาไว้แล้ว ถ้า AMD จะมาใช้ก็ต้องเสียค่าหัวคิวให้กับทาง Intel ... แล้ว AMD นั้น เป็นคู่แข่งกับ Intel ... อย่างนี้ ก็ยิ่งน่าสนใจนะครับ

Thoroughbred (Athlon) Athlon ในรุ่นถัดจาก Palomino ( Socket A ) ที่ลดขนาดของเทคโนโลยีการผลิตเหลือเพียง 0.13 ไมครอน ใช้ทองแดงเป็นตัวเชื่อมต่อภายในเช่นเดิม ( Copper Interconnect ) และมีความเร็วเริ่มต้นกันที่ 1.73 GHz เริ่มต้นสุ่มตัวอย่างผลิตในราวไตรมาสสุดท้ายของปี ค.ศ. 2001 และ ผลิตเป็น Production จริงๆ ในไตรมาสแรก ในปี ค.ศ. 2002
Barton (Athlon) Barton นี้ เป็น Athlon ในรุ่นถัดจาก Thoroughbred จะใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ 0.13 ไมครอน พร้อมด้วยเทคโนโลยีใหม่ SOI ( Silicon On Inulator ) ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเร็วของ CPU ขึ้นมาอีก 20% แล้วยังจะช่วยลดความร้อนลงได้อีก
Spitfire (Duron) เป็น Athlon รุ่น Socket เพราะใช้งานบน Socket A ( Socket-462 ) เท่านั้น แต่เป็นรุ่นราคาต่ำ เพราะมีขนาดของ Cache ระดับ 2 ที่น้อยกว่า Thunderbird เหลือประมาณครึ่งหนึ่ง ใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.18 ไมครอน เช่นเคย คาดว่าจะมีจำหน่ายในราว ปลายๆมาสแรก หรือต้นๆ ไตรมาสที่ 2 ของปี ค.ศ. 2000 นี้เช่นกัน ทั้ง Spitfire และ Thunderbird ในรุ่นแรกนี้ ยังคงผลิตด้วย Aluminium และยังคงใช้ Aluminium สำหรับทำหน้าที่เป็นตัว Interconnect ด้วย แต่ Thunderbird รุ่นใหม่ที่จะหันไปใช้งานบน Socket A นั้น จะใช้ Copper ( ทองแดง ) เป็นตัวต่อเชื่อมภายในที่เรียกว่า Copper-Interconnect แล้วละครับ
Duron ก็คือ Spitfire นั่นเองละครับ เพียงแต่ ทาง AMD นั้น พอถึงเวลาเปิดตัวอย่างเป็นทางการจริงๆ ก็กลับใช้ชื่อนี้ เป็นชื่อทางการค้าอย่างเป็นทางการแทนนั่นเอง

Morgan (Duron) Duron ใน Generation ที่ 2 ( Socket A )... มีความเร็วเริ่มต้นที่ 900 MHz ยังคงใช้ เทคโนโลยีการผลิตด้วยขนาด 0.18 ไมครอน ยังคงมี Cache ระดับ 1 ขนาด 128KB และ Cache ระดับ 2 ขนาด 64 KB แต่อาจปรับไปใช้ FSB 266 MHz ( DDR ) แทน คือ ใช้สถาปัตยกรรมแกนหลักเดียวกันกับ Palomino นั่นเอง แต่จุดต่างกันอีกจุดหนึ่ง ก็คือยังคงใช้อลูมิเนี่ยมเป็นตัวเชื่อมต่อภายใน ( Aluminum Interconnect ) เช่นเดิม เริ่มสุ่มตัวอย่างผลิตในไตรมาสแรกของปีค.ศ. 2002 และเริ่มส่งจำหน่ายจริงในไตรมาสถัดไป

Appoloosa (Duron) Duron ใน Generation ที่ 3 ( Socket A ) ... มีความเร็วเริ่มต้นที่ 1 GHz และหันมาใช้เทคโนโลยีการผลิตลดลงด้วยขนาด 0.13 ไมครอน และใช้สถาปัตยกรรมแกนหลักเดียวกับ Athlon Throughbred ต่างกันแค่ขนาดของ Cache ระดับ 2 เท่านั้นละครับ คาดว่าจะเริ่มสุ่มตัวอย่างผลิตหลังจาก Morgan ไม่นาน ( น่าจะเป็นไตรมาสที่ 2 ของปีค.ศ. 2002 ) และ เริ่มจำหน่าย ในไตรมาสถัดไป

Mustang หรือ "Athlon Ultra" จะเป็น Athlon ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานระดับ Server/Workstation ใช้ Copper ในการผลิต ด้วยเทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.18 ไมครอน มีขนาดของ Cache On-Chip ระดับ 2 ตั้งแต่ 1-2 MB เลยทีเดียว ใช้งานบนระบบ Bus แบบ DDR FSB 133 MHz ( ก็จะเหมือนว่าทำงานด้วย Bus 266 MHz ละครับ ) และรองรับหน่วยความจำแบบ DDR SDRAM 400 MHz ที่ใช้ช่องความกว้างของ Bandwidth ถึง 2.1 GB เลยทีเดียว .. และเหมือนๆ กับ Thunderbird คือ รุ่นแรกจะใช้งานบน Slot-A และรุ่นต่อมาจะย้ายมาใช้ Socket A แทน เดิมทีคาดว่าจะออกสู่ท้องตลาดได้ในไตรมาสที่ 3 ของปี ค.ศ. 2000 ... แต่ปัจจุบัน ได้ถูกทาง AMD เขี่ยออกจาก Roadmap ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วละครับ

SledgeHammer หรือ K8 ... CPU 64 Bit ในสาย x86 ตัวแรกของทาง AMD ที่เรียกว่า x86-64 ... เป็น CPU ที่เน้นสำหรับใช้งานด้าน Server / Workstation ใช้เทคโนโลยีการผลิตด้วยขนาด 0.13 ไมครอน รองรับการใช้งานแบบ 4-8 way Multi Processor... นอกจากนี้ ก็ยังมีการใช้งานระบบบัสแบบใหม่ ที่เรียกว่า Lighting Data Transport หรือ LDT ซึ่งจะมาช่วยเพิ่มขีดความสามารถของ EV6 และ/หรือ EV7 Bus ผนวกกับ เทคโนโลยี SOI หรือ Silicon On Inulator ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเร็วของ CPU ขึ้นมาอีก 20% แล้วยังจะช่วยลดความร้อนลงได้อีกไม่น้อย คาดว่าจะเริ่มต้นสุ่มตัวอย่างทดสอบในไตรมาสแรกของปี ค.ศ. 2002 และเริ่มผลิตเป็น Production ในไตรมาสถัดไป

ClawHammer CPU 64 Bit ( x86-64 ) ในตระกูลเดียวกันกับ SledgeHammer หากแต่เป็นรุ่นเล็กกว่า เนื่องจากลดขนาดของ Cache ภายใน และลดปริมาณการรองรับการใช้งานแบบ Multi Processor เหลือเพียงแค่ 1 หรือ 2 ทาง เท่านั้น (1-2 way) แต่รายละเอียดอย่างอื่น ก็จะเหมือนๆ กับ SledgeHammer ... ตัวนี้ ทาง AMD หมายจะเน้นมาใช้งานในตลาด Desktop PC ละครับ ... จะเริ่มสุ่มตัวอย่างทดสอบในราวไตรมาสสุดท้ายของปี ค.ศ. 2001 และ จะเริ่มผลิตเป็น Production ในราวต้นปี หรือในไตรมาสแรกของปี ค.ศ. 2001 นอกจากนี้ ยังมีข่าวอีกว่า ทาง AMD วางแผนจะใช้ชุดคำสั่ง SSE2 ที่เพิ่มเข้ามาใน Pentium4 อีก 144 คำสั่ง มาใช้อีกด้วย แต่ว่า จะใช้กับ CPU ในตระกูล Hammer ทั้งหลาย ได้แก่ ClawHammer และ SledgeHammer อีกด้วยละครับ










Cyrix

Cyrix เจ้านี้ เมื่อก่อนก็มีชื่อเสียงในท้องตลาดอยู่บ้าง โดยเฉพาะในรุ่น 6x86 แต่หลังจากนั้น ก็แผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนปัจจุบันนี้หลายๆ ท่าน แทบจะไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ
6x86 6x86 หรือ M1 ( เอ็ม-วัน ) ... เป็น CPU ของทาง Cyrix ที่ออกมาในช่วงเวลาเดียวกับ AMD K5 ซึ่งก็ใช้ PR-Rating เป็นตัววัดประสิทธิภาพ ของ CPU เทียบกับ Intel Pentium เช่นเดียวกัน โดย PR-Rating ของ Cyrix 6x86 นี้ ก็เริ่มตั้งแต่ 120 MHz ถึง 200 MHz ซึ่ง CPU 6x86 รุ่นแรกนี้ จัดว่าเป็นรุ่นที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เพราะมีปัญหาบ่อยมาก ทำให้ระบบแฮงค์อยู่บ่อยๆ ( อย่างนี้ น่าจะเรียกว่า 'ชื่อเสีย' นะ ) ซึ่งงานนี้ ก็ทำให้ผู้พัฒนา Software ต่างๆ ต้องพัฒนา Patch มาแก้ให้กับโปรแกรมของตน 6x86 นี้มาพร้อมกับ Cache ระดับ 1 ขนาด
16K ด้วยระบบบัส 50-75 MHz ในรุ่นแรกนั้นออกแบบมาให้ใช้งานกับ Socket 5 แต่ต่อมาก็ได้ย้าย มาใช้งานบน Socket 7

MediaGX จัดเป็นต้นแบบของ Concept PC-On-A-Chip เลยละครับ โดยการที่รวมเอาส่วนควบคุมหน่วยความจำ ส่วนควบคุม Bus ต่างๆ เข้าไว้ ในตัว CPU เลย แถมยังรวมเอาหน่วยประมวลผลด้าน Graphic เข้าไว้ด้วยเช่นกัน โดยใช้หน่วยความจำของระบบ มาใช้เป็นหน่วยความจำ Frame Buffer แทน ( ที่เรียกกันว่า Share RAM นั่นละครับ ) รุ่นนี้เริ่มต้นด้วย PR-Rating ที่ 180 MHz ถึง 233 MHz มี Cache ระดับ 1 ที่ 16K ใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.5 ไมครอน ซึ่งต่อมา ทาง National ก็ได้แบ่ง CPU รุ่นนี้ออกเป็น 2 รุ่น คือ

Geode GXLV ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิต 0.35 ไมครอน ด้วยความเร็ว 166-266 MHz
Geode GX1400 ซึ่งเพิ่มความสามารถในการรองรับ MPEG-2, Dolby AC3 และอื่นๆ ( เป็นแบบ Hardware Support )
6x86MX เป็นการเอา 6x86 เดิม มาปัดฝุ่นแล้วตบแต่งใหม่ เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น มีการเพิ่มขนาดของ Cache ระดับ 1 เป็น 4 เท่าจากของเดิม คือเป็น 64K มีการเพิ่มชุดคำสั่ง MMX ใช้งานบนระบบบัสความเร็ว 60-75 MHz มี PR-Rating ตั้งแต่ 166 ถึง 266 MHz ... ทาง IBM ก็ได้ผลิต CPU โดยใช้ Core ของ 6x86MX ด้วยเช่นกัน มีตั้งแต่รุ่น 166-333 MHz ใช้งานบน FSB 66, 75 และ 83 MHz ต่อมา ทาง Cyrix ได้เปลี่ยนชื่อเป็น M-II แทน ในขณะที่ทาง IBM นั้น ยังคงอาศัยชื่อ 6x86MX ต่อไป จนกระทั่งหมดสัญญาการเป็นหุ้นส่วนของกัน
M-II จัดเป็น CPU ตัวสุดท้ายที่จัดจำหน่ายในนามของ Cyrix ก่อนที่จะถูก VIA เข้ามาซื้อกิจการไป ... เริ่มมีการจำหน่ายในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1998 ซึ่งก็คือ 6x86MX นั่นละครับ อย่างที่กล่าวไปแล้ว แต่ได้ทำการลดขนาดของเทคโนโลยีการผลิต เหลือพียง 0.25 ไมครอน และมีความเร็ว PR-Rating ตั้งแต่ 300-433 MHz

Gobi Gobi ( MII+ ) ... ก่อนหน้านี้นั้นใช้ชื่อ Codename ว่า Jedi ( เจได ) แต่ว่าชื่อนี้นั้น ทาง Lucas Film เขาได้จดลิขสิทธิ์ไปแล้ว ( จากเรื่อง StarWar ไงครับ ) ก็เลยทำให้ต้องเปลี่ยนชื่อมาเป็น Gobi ( โกบิ ) แทน เป็น CPU ตัวแรกที่ทาง Cyrix จะหันมาซบอก Socket 370 โดยสิ่งที่เหนือไปกว่า MII ปกติ คือ มีชุดคำสั่ง 3DNow! เข้ามาด้วย ( จากที่มีแค่ MMX อย่างเดียว ) ... ได้มีการพัฒนาหน่วยประมวลผลเชิงทศนิยมให้ดีขึ้น ( ซึ่งเดิมเป็นจุดอ่อนที่มีมาช้านาน ของทาง Cyrix ) มี Cache ระดับ 1 ขนาด 64 K และ Cache ระดับ 2 แบบ On-Chip ทำงานด้วยความเร็วเดียวกับ CPU ที่ความเร็ว 256 K ซึ่งเจ้าตัวนี้ ทาง VIA ได้จัดการเปิดตัวให้ เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ และจัดจำหน่ายให้ ในชื่อของ Joshua


MediaPC เป็นภาคต่อของ MediaGX บน Platform แบบ Socket 7 โดยคราวนี้ สิ่งที่พัฒนาจาก MediaGX ก็คือ มีการใช้สถาปัตยกรรมแกนหลัก แบบเดียวกับ Gobi ซึ่งก็คือ Gobi ที่รวมเอาหน่วยประมวลผลด้าน Graphic และ มีส่วนควบคุมต่างๆ เข้าไว้ใน Chip เดียวกันนั่นเอง ... ซึ่งปัจจุบันนี้ ก็ไม่มีใครทราบชะตากรรมของ CPU รุ่นนี้แล้วละครับ ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร หรือว่าถูกแบนไปแล้วก็ไม่อาจทราบได้

Cayenne เป็นชื่อ Codename ของสถาปัตยกรรมแกนหลักที่ใช้กับ Gobi และ MediaPC
Mxi เป็น Socket/PC-On-A-Chip ที่พัฒนาโดยใช้ Cayenne Core เหมือนๆ กับ MediaPC แต่มีความเร็วที่สูงกว่าคือ 333-400 MHz ... และก็เช่นกันอีกละครับ ยังไม่ทราบชะตากรรมของ CPU ตัวนี้เลย ว่าเป็นอย่างไร * ระดับ 1 ของ CPU Cyrix ตั้งแต่รุ่น 6x86 เป็นต้นมา จนถึง Mxi นี้ ไม่มีการแบ่งเป็น Instruction Cache และ Data Cache ครับ

Mojave Mojave ( M3, M-III ) ... เป็น CPU ที่ได้ทำการรื้อสถาปัตยกรรมภายในใหม่พอสมควร เริ่มจากการแบ่ง Cache ระดับ 1 ออกเป็น 2 ส่วน คือ Instruction Cache และ Data Cache แต่ได้ลดขนาดจาก 64K เหลือเพียง 32K และได้มีการนำเอา Cache ระดับ 2 มาไว้ On-Chip ขนาด 256K ใช้เทคโนโลยีในการผลิต ขนาด 0.18 ไมครอน พร้อมชุดคำสั่ง MMX และ 3DNow! เริ่มต้นความเร็วที่ 600-800 MHz ( เป็นความเร็วแท้ ไม่ใช่ PR-Rating ) ด้วย FSB 100-133 MHz นอกจากนี้ ก็ยังได้มีการรวมเอาหน่วยประมวลผลด้าน Graphic และ ส่วนควบคุมต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันอีกด้วย ( เป็น PC-On-A-Chip ) แต่ว่า อนาคตของเจ้า Mojave นี้ ก็ดูจะลางเลือนลงไป หลังจากที่ทาง VIA นั้นได้ เข้าซื้อทั้ง Cyrix และ Centaur ไว้ทั้งคู่

Jalapeno เป็นชื่อ Codename ของสถาปัตยกรรมแกนหลักที่ใช้กับ Mojave















RISE ค่าย CPU ชื่อไม่คุ้นนี้ จริงๆ ก็มีมานานแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1993 แต่เพิ่งจะเริ่มมีชื่อขึ้นมาบ้าง ก็ในปี ค.ศ. 1998 นี่เอง ส่วนทางบ้านเรานั้น คงไม่ต้องถามถึงละครับ ในตลาดพันธุ์ทิพย์นี้ แทบไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่ผมเคยเห็นวางจำหน่ายที่เสรีเซ็นเตอร์เมื่อปลายๆ ปีที่แล้วครับ
mP6 เป็น CPU ตัวแรกจากค่าย Rise ที่เหมาะกับการใช้งานบน Notebook หรือ Mobile PC มากกว่า เพราะให้ความร้อนที่ต่ำ แต่ด้วยขนาดของ Cache ระดับ 1 เพียง 16K ( Instruction 8K , Data 8K ) ก็เลยหน่วงประสิทธิภาพโดยรวมของมันลงไปไม่น้อย และรุ่นนี้ ก็ยังคงเหมือนกับ CPU Socket 7 รุ่นแรกๆ ทั่วๆ ไป คือใช้ Cache ระดับ 2 ที่อยู่บน Mainboard ซึ่งทำงานด้วยความเร็ว เท่ากับความเร็วบัสของระบบ ใช้ค่า PR-Rating เป็นตัววัดประสิทธิภาพเหมือนๆกับทาง Cyrix โดยเริ่มต้นที่ PR-Rating 166 ถึง 366 MHz

mP6-II เป็น CPU ที่ต่างจาก mP6 ในทำนองเดียวกับที่ AMD K6-III ต่างจาก K6-2 นั่นคือ ยังคงใช้สถาปัตยกรรมแกนหลักเดิม แต่ว่า ได้เพิ่มเอาส่วนของ Cache ระดับ 2 มารวมไว้บน Chip เดียวกับ CPU เลย ซึ่งนอกเหนือไปจากนี้ ก็คาดว่าจะสนับสนุนชุดคำสั่ง SSE ของทาง Intel อีกด้วย มีความเร็วเริ่มต้นที่ PR-Rating 200 MHz แต่ต่อมา ในเดือนสิงหาคมปี ค.ศ. 1999 ทาง Rise ก็ได้ประกาศยกเลิก การผลิต CPU รุ่นนี้ เนื่องจากต้นทุนในการเพิ่ม Cache ระดับ 2 แบบ On-Chip นั้น สูงเกินไปครับ
Tiger ตัวนี้ คือ mP6-II ที่จะใช้งานบน Socket 370 ครับ โดยจะมี Cache ระดับ 1 เพียง 16K เท่าเดิม แต่มี On-Chip Cache ระดับ 2 ขนาด 256K ทำงานด้วยความเร็วเดียวกันกับ CPU

Centaur ทั้งค่ายนี้ และ CPU ของค่ายนี้ ก็ไม่ค่อยคุ้นหู คุ้นตากันสักเท่าไร เพราะมีจำหน่ายในบ้านเราน้อยมาก และเป็นแค่ช่วงเวลาเดียวเท่านั้น ยิ่งระยะหลังๆ นี้ ไม่เจออีกเลย โดยทาง Centaur นั้น เน้นผลิต CPU ที่ราคาต่ำเอามากๆ หมายจะตีตลาดระดับล่างละครับ

Winchip C6 เป็น CPU ตัวแรกของค่ายนี้ ที่ออกแบบมาเน้นสำหรับตลาดระดับต่ำมากๆ เพราะมีราคาต่ำแบบสุดๆ แต่ว่า ประสิทธิภาพนั้น ยิ่งต่ำกว่าราคาเสียอีก ทำให้มันไม่เป็นที่นิยมเท่าที่ทาง Centaur คาดหวังไว้ ... ใช้งานบน FSB 60,66,75 MHz บน Interface แบบ Socket 5 ใช้เทคโนโลยีการผลิต ขนาด 0.35 ไมครอน สนับสนุนชุดคำสั่ง MMX ด้วยความเร็วระดับ 180-240 MHz เปิดตัวในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1997

Winchip-2 CPU รุ่นที่ 2 จากค่าย Centaur ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.25 ไมครอน มี Cache ระดับ 1 ขนาด 64K ( Instruction 32K และ Data 32K ) ใช้ Cache ระดับ 2 บน Mainboard รองรับชุดคำสั่งทั้ง MMX และ 3DNow! ใช้งานบน Interface แบบ Socket 7 ด้วยความเร็ว 200-300 MHz และยังได้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพตรงส่วนของการประมวลผลเชิงทศนิยมให้ดีขึ้นจากรุ่นเดิมอีกด้วย โดยจะใช้ FSB 100 MHz และลงสนามในเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1998

Winchip-2A เป็น Winchip-2 ที่มีการแก้ไขข้อผิดพลาดตรงส่วนของชุดคำสั่ง 3DNow! นั่นเอง

Winchip-3 ก็ยังคงใช้สถาปัตยกรรมแกนหลักเช่นเดิม มี Cache ระดับ 1 ขนาด 64K ( Instruction 32K และ Data 32K ) แต่ได้เพิ่มหน่วยความจำ Cache ระดับ 2 แบบ On-Chip Cache ขนาด 128K ที่ทำงานด้วยความเร็วเดียวกันกับ CPU และมอง Cache บน Mainboard เป็น Cache ระดับ 3 ไปโดยปริยาย โดย CPU รุ่นนี้ มีแผนการที่จะออกสู่ท้องตลาดในช่วงครึ่งปีแรกของปี ค.ศ. 1999 ด้วยความเร็วเริ่มต้นที่ 300 MHz แต่สุดท้าย ก็ต้องถูกยกเลิก การเปิดตัว เนื่องจาก VIA ได้เข้าซื้อกิจการของ Centaur และ Cyrix นั่นเอง

Winchip-4 CPU ตัวนี้ มีแผนการจะปล่อยตัวในปลายๆ ปี ค.ศ. 1999 ด้วยความเร็วระดับ 400-500 MHz ใช้เทคโนโลยีในการผลิตขนาด 0.25 ไมครอน และต่อมาก็จะใช้เทคโนโลยีการผลิต 0.18 ไมครอน ด้วยความเร็วระดับ 500-700 MHz และจะมีการเปลี่ยนแปลง Interface ในการเชื่อมต่อด้วยเช่นกัน แต่แล้วก็เช่นเดิมครับ ... VIA ครอบครองไปแล้ว



VIA

VIA หน้าเก่าในวงการ แต่หน้าใหม่สำหรับตลาด CPU .. หลังจากที่ได้ซื้อ Cyrix และ Centaur รวมเข้าไว้ด้วยแล้ว ก็เริ่มที่จะลุยตลาด CPU บ้าง โดยจะเน้นตลาดระดับล่าง เข้าชนกับ Intel Celeron และอาจจะชนกับทาง AMD K6-2 ( K6-2+ ) ด้วย ถึงแม้ปากจะบอกว่าไม่อยากชนกับทาง AMD แต่โดยการตลาดแล้ว ก็ยากที่จะเลี่ยง
Joshua Joshua ... CPU จากค่าย VIA ตัวแรก ที่ใช้สถาปัตยกรรมของ Cyrix Gobi ( ใช้ Cayenne Core ) ซึ่งรายละเอียดต่างๆ นั้น สามารถอ่านได้ ในส่วนของ Cyrix Gobi ครับ

Cyrix III Cyrix III ซึ่งใช้ สถาปัตยกรรมแกนหลัก Samuel II เป็นตัวบุกหลัก ซึ่ง CPU รุ่นนี้ จะใช้ Interface เป็น Socket 370 ใช้เทคโนโลยีการผลิตด้วยขนาด 0.15 ไมครอน และใช้ไฟเลี้ยง 1.5V มี Cache ระดับ 1 ขนาด 128KB และ Cache ระดับ 2 ขนาด 64KB โดยจะออกวางตลาดทั้งรุ่นที่ใช้ FSB 100 MHz ( คือรุ่นตั้งแต่ 650 MHz ขึ้นไป ) และ 133 MHz ( รุ่น 667 MHz ขึ้นไป ) และจะมีถึงรุ่นระดับความเร็ว 900 MHz เลยทีเดียวละครับ ส่วนด้านบรรจุภัณฑ์นั้น ก็จะมีทั้งที่เป็น CPGA , EBGA, uBGA ซึ่งคาดว่า 2 แบบหลังนั้น น่าจะเป็น CPU สำหรับ Mobile PC หรือ Notebook ละครับ

C3 จริงๆ แล้ว ก็คือ Cyrix III ละครับ แต่ทาง VIA ได้เปลี่ยนชื่อทางการตลาด เนื่องจากปัญหาทางการตลาด ด้วยเหตุที่ว่า ชื่อ Cyrix นี้ ถูกมองว่าเป็น CPU สำหรับผู้ต้องการประสิทธิภาพในระดับต่ำมากไปซะแล้ว ก็เลยเปลี่ยนชื่อมาใช้เป็น C3 แทนนั่นเองครับ และ ส่วนหนึ่ง ก็อาจเป็นเพราะเรื่องลิขสิทธ์เรื่องชื่อ ของทาง Pentium !!! ด้วยละครับ ... เพื่อตัดปัญหาต่างๆ นาๆ จึงได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น C3 เมื่อคราวงาน Cebit ต้นเดือนมีนาคมปีค.ศ. 2001 นี่เอง ... โดยรุ่นที่จะเริ่มเรียกชื่อ C3 ก็คือรุ่นความเร็วตั้งแต่ 733 MHz เป็นต้นไปละครับ
Samuel CPU ตัวที่ 2 ที่คลอดตาม Joshua มาติดๆ แต่ไม่จัดว่าเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน มันเกิดจากคนละแม่กันน่ะครับ เพราะตัวนี้ ใช้สถาปัตยกรรมแกนหลักของทาง Centaur เขา คือ Winchip-4 ... ใช้เทคโนโลยีการผลิต ขนาด 0.18 ไมครอน ด้วยความเร็ว 500-700 MHz ซึ่งงานนี้ ก็ดูเหมือนว่าจะออกมาชนกับ Intel Timna ซึ่งเป็น PC-On-A-Chip จากทาง Intel ละครับ เพราะคาดว่า เจ้า Samuel นี้ จะมีการรวมเอา หน่วยประมวลผลทางด้าน Graphic และ รวมเอา Chipset ตรงส่วนของ Northbridge เข้าไปไว้ใน Chip เดียวกันเลยด้วย นอกจากนี้ ก็ยังได้รวมเอา ชุดคำสั่ง SIMD ของ 3DNow! เข้าไว้ด้วยเช่นกัน คาดว่าจะใช้ Interface เป็นแบบ Socket370 เช่นเดียวกับ Joshua และมีกำหนดการวางตลาด ในไตรมาสที่ 2 ของปี ค.ศ. 2000 นี้ ... แต่สุดท้าย เจ้าตัวนี้ ก็มีแค่ชื่อครับ .. เพราะทาง VIA ได้ปรับเปลี่ยนแผนการณ์ใหม่ และได้เขี่ยเจ้า Samuel ออกจากสาระบบไปแล้ว

Samuel 2 Samuel 2 นี้ ก็มีชื่อรหัสภายในว่า C5B จะมี Cache ระดับ 2 แบบ On-die ( อยู่บนแผ่น Die เดียวกันกับ CPU ) ขนาด 64KB และมี Cache ระดับ 1 แบบ On-Die ขนาดใหญ่กว่าเป็นเท่าตัวคือ 128KB ซึ่งจะเริ่มต้นที่ระดับความเร็ว 750 MHz ( ส่วน Cyrix III รุ่นแรกนั้น จะหยุดที่ความเร็ว 700 MHz ) และ Cyrix III ที่ใช้แกนหลักของ Samuel II รุ่นความเร็ว 800 และ 850 MHz ก็จะออกตามกันมาติดๆ ละครับ โดยทั้ง 3 รุ่นนี้ จะรองรับระบบ FSB ทั้ง 100 และ 133 MHz อีกด้วย Samuel 2 ซึ่งใช้สถาปัตยกรรมแกนหลักของ WinChip C5B จะมาพร้อมกับ Cache ระดับ 2 ขนาด 64KB น่าจะถูกส่งลงลุยสนามกันตั้งแต่ปลายๆ ปี 2001 นี้ หรืออย่างช้า ก็ต้นปี 2002 โดยใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.15 ไมครอน ใช้อลูมิเนี่ยมเป็นตัวเชื่อมต่อภายใน และเป็นเนื้อสารแบบ 7 ชั้น ( 7 Layer ) แผ่น Die มีขนาด 52 ตารางมิลลิเมตร ใช้ไฟเลี้ยง 1.5 Volt มีความเร็วในระดับ 600 - 733 MHz
Mathew เป็น CPU ที่รวมเอาส่วนควบคุมต่างๆ เข้าไว้ใน Chip เดียว ที่คล้ายๆ กับ "PC On A Chip" ของ Intel เขาละครับ โดยทาง VIA นั้น ก็หมายจะปล่อยออกมาในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ค.ศ. 2001 ซึ่งก็จะใช้สถาปัตยกรรม แกนหลักในการประมวลผล เหมือนกับ Cyrix III คือใช้ Samuel II และจะรวมเอาส่วนของ North Bridge ซึ่งมีชื่อ Codename ว่า Twister คือ เป็น Apollo Pro266 ที่รวมกับ หน่วยประมวลผลด้าน Graphic 2D/3D จากค่าย S3 คือ Savage MX ใช้บรรจุภัณฑ์แบบ PBGA แบบ 551 ขา ซึ่งก็คาดว่า ทาง VIA นั้น ก็อาจจะจับเจ้าตัวนี้ มาใช้กับ Mobile PC แทนละครับ

Ezra Ezra หรือ C5C นั้น จะเป็น CPU ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.13 ไมครอน ใช้สถาปัตยกรรมแกนหลักเดียวกันกับ C3 คือ Samuel 2 แต่ใช้ทองแดงเป็นตัวเชื่อมต่อภายใน ด้วยเนื้อสาร 8 ชั้น แต่จะมีขนาดของแผ่น Die ใหญ่กว่าเดิมคือ 75 ตารางมิลลิเมตร ใช้ไฟเลี้ยง 1.2 Volt และจะมาพร้อมๆ กับ Cache ระดับ 1 ขนาด 128KB และ มี Cache ระดับ 2 ขนาด 64 KB โดยมีความเร็วเริ่มต้นกันที่ 1 GHz ซึ่งคาดว่าน่าจะออกสู่ตลาดในช่วงปลายๆ ปี ค.ศ. 2001
C5X C5X ซึ่งจะเป็น CPU ที่มี Cache ระดับ 1 ขนาด 128 KB และ Cache ระดับ 2 แบบ On-Die ขนาด 256KB และสนับสนุน SSE ( Streaming SIMD Extension ) ของทาง Intel อีกด้วย ในขณะที่ Samuel II นั้น จะสนับสนุนเพียงแค่ Intel MMX และ AMD 3DNow! เท่านั้น นอกจากนี้ เจ้า C5X ก็จะใช้เทคโนโลยี การผลิตที่ 0.13 ไมครอน ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากคู่ขาในการผลิต คือ TSMC ( Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. Ltd. ) และจะมีความเร็วเริ่มต้นที่ 1.2 GHz ครับ Transmeta น้องใหม่อีกค่ายหนึ่ง ซึ่งก็ทำให้วงการแตกตื่นกันไม่น้อยเลยทีเดียว

Crusoe เป็นผลของการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทั้งทางด้านเทคนิคและการตลาดของ Transmeta ถึง 5 ปี และได้เปิดตัว Crusoe ขึ้น ในวันที่ 19 เดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2000 นี้เอง ซึ่งทาง Transmeta นั้น ก็ออกปากว่าจะไม่ขอร่วมวงศ์ไพบูลย์แข่งขันกับทาง Intel และ AMD หรือ VIA ละครับ ( แต่ในความเป็นจริงนั้น ก็ไม่แน่ ... ขออย่าให้มีโอกาสแล้วกัน Transmeta เอาแน่ๆ ครับ :P ) และได้วางเป้าหมายเอาไว้ สำหรับเป็น CPU สำหรับ Mobile PC หรือ HPC มากกว่า ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกัน 2 Version คือ Version ที่มี Cache ระดับ 1 ขนาด 96K ไม่มี Cache ระดับ 2 คือรุ่นความเร็ว 333-400 MHz และอีก Version หนึ่งจะมี Cache ระดับ 1 ขนาด 125K และมี Cache ระดับ 2 ขนาด 256K คือรุ่นความเร็ว 500-700 MHz ใช้ระดับพลังงานไฟฟ้าไม่แน่นอน แล้วแต่จำนวนของงานที่ทำ ซึ่งก็เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ระดับ 10-20mW ถึง 1-3W คาดว่าจะเริ่มลุยตลาดในช่วงครึ่งหลังของปี ค.ศ. 2000 นี้

วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2550

แนวโน้มในศตวรรษหน้า

แนวโน้มในอนาคตอันใกล้นี้ ทั้งคู่ ต่างก็เตรียมตัวที่จะฟาดฟันกันอีกครั้ง ด้วย CPU ระดับ 64 Bit โดยในขณะนี้ทาง Intel ก็ได้ประกาศตัว CPU ระดับ 64 Bit ออกมาแล้ว โดยให้ชื่อว่า Itanium ( หรือชื่อเดิมคือ Merced ) โดยได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมภายในใหม่เกือบทั้งหมด .. ในขณะที่ทาง AMD ก็ได้เปิดตัว Sledgehammer ( หรือรู้จักกันในนาม K8 ) ที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบ 64 Bit เช่นกัน ... แต่ยังคงยึดหลักสถาปัตยกรรม x86 เดิม

ก่อนที่จะเข้าสู่ CPU ระดับ 64 Bit นี้ ทาง Intel ก็จะทิ้งทวน CPU ระดับ 32 Bit ( IA32 ) ตัวรุ่นสุดท้าย ที่มีชื่อว่า Willamette โดยให้ฉายากันภายในว่า "Athlon Killer" หรือ "เพชรฆาต Athlon" ซึ่งก่อนหน้านี้ ตาม Roadmap ของ Intel เจ้า Willamette นี้ ควรจะต้องเปิดตัวในราวไตรมาสที่ 3 ของปี 2000 แต่ไปๆ มาๆ ทาง Intel ก็จำต้องเลื่อนกำหนดการ ให้เข้ามาอีก จนมีข่าวลือกันว่า ปลายๆ ปีนี้ คงได้มีการเปิดตัว Willamette แน่ๆ ... ดูเหมือนว่าทาง Intel เองก็ลนลานอยู่ไม่น้อยเหมือนกันนะครับ สำหรับการเปิดตัว Athlon ของ AMD

มาดูทางด้าน CPU ระดับ 64 Bit ( IA64 ) ของ Intel กันบ้าง ... ยักษ์ใหญ่ ผู้ครองตลาดมานาน ได้วางแผนไว้แล้ว ว่าจะออก CPU Itanium ในราวๆ กลางปี 2000 โดยจะทำการ เปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรมภายในของ CPU นี้ ใหม่หมด จนแทบไม่เหลือคราบของ x86 อีกเลย ... โดยเฉพาะในส่วนของชุดคำสั่งต่างๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปใช้ ชุดคำสั่ง EPIC ซึ่งทาง Intel ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับชุดคำสั่ง EPIC นี้ว่า เป็นชุดคำสั่งที่ออกแบบมาเพื่อ ผู้ออกแบบ ระบบ hardware โดยจะช่วยทำให้เข้าถึง hardware ได้ง่าย และ มีสมรรถภาพเหนือกว่า สถาปัตยกรรมเดิม x86 อยู่มาก ... รวมถึงประสิทธิ ภาพที่ได้นั้น ก็จะมากกว่าเดิมอีกด้วย ... โดยทาง Intel ก็ได้ยกตัวอย่างเพิ่มเติมว่า ชุดคำสั่ง EPIC นี้จะสามารถทำงานได้ทีละ 6 คำสั่ง ในช่วง สัญญาณนาฬิการอบเดียว ซึ่งมากกว่า ความเร็วของ Pentium III 32 Bit ในปัจจุบัน ที่ทำงานได้เพียงแค่ 1.5 ถึง 2 คำสั่ง ในช่วงเวลาเท่ากัน

ในด้านของสถาปัตยกรรมบ้าง ... Itanium นี้จะเป็น CPU ที่ใช้สถาปัตยกรรม IA-64 ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบ 64 Bit ที่สนับสนุนทั้ง MMX และ SSE อย่างเต็มที่ รวมไปถึงยังสนับสนุน การทำงานแบบ 32 Bit ของ IA-32 อีกด้วย โดยเจ้า Itanium นี้ นอกจากจะมี Cache ระดับ 2 บนเวเฟอร์เดียวกันกับ CPU แล้ว ยังจะมี Off-Chip Cache ระดับ 3 ที่รองรับได้มากถึง 4 M อีกด้วย ( IMHO, Off-Chip Cache นี้ น่าจะเป็นเหมือนกับ Cache ระดับ 2 ที่มีอยู่ใน Pentium II หรือ Pentium III รุ่น ปัจจุบัน คืออยู่ใน Package เดียวกันกับ CPU แต่ไม่ได้อยู่ใน Chip CPU )

ก็ต้องยอมรับว่า Intel ใจเด็ดมาก ... เพราะเมื่อเปลี่ยนสถาปัตยกรรมใหม่ Software ที่ใช้ ก็ต้องเขียนใหม่ เพื่อให้รองรับกับสถาปัตยกรรมใหม่นี้ ไม่ว่าจะเป็น OS เช่น ต้องทำ 64 Bit Linux หรือ 64 Bit Windows เพื่อใช้สำหรับ Itanium ( EPIC ) ... หรือแม้แต่ Application ต่างๆ ก็จำเป็นต้อง เขียนใหม่ ให้สามารถใช้งานได้บน Itanium นี้

จริงๆ เหตุการณ์ทำนองนี้ Intel เองก็เคยทำมาแล้ว เมื่อคราวที่เปลี่ยนสถาปัตยกรรมจาก 486 ไปสู่ Pentium ... ซึ่งในตอนนั้น Intel ยังคงใช้พื้นฐานสถาปัตยกรรมจากทาง x86 อยู่ไม่ใช่น้อยๆ ก็เลยไม่มีปัญหาหนักเท่ากับคราวนี้ ...

ในด้านตลาดระดับกลาง และระดับล่าง Intel ก็ยังคงใช้ Celeron เป็นตัวบุกตลาดด้านนี้เช่นเดิม และคาดว่า จะมีการใส่ Technology SSE เข้า ใน Celeron อีกทั้งยังมีข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับ Celeron III อีกด้วย

ทางด้าน AMD Sledgehammer นั้น ก็มีแนวทางการพัฒนาที่แตกต่างไปอย่าง Intel Itanium อย่างสิ้นเชิง เพราะ AMD นั้น ยังคงใช้โครงสร้างหลัก จาก x86 เดิม เพียงแต่ได้ทำการแก้ไข ปรับปรุงในบางส่วน แล้วเรียกสถาปัตยกรรมใหม่นี้ว่า x86-64

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทาง AMD ได้ให้ความเห็นว่า ในบางเวลา หรือ ในการใช้งานบางอย่างนั้น ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้การประมวลผลแบบ 64 Bit เสมอไป เช่นงานด้าน Word Processing หรือ การปรับแต่ง/แก้ไข ภาพ เป็นต้น ดังนั้น ทาง AMD จึงยังคงให้ความสำคัญกับสถาปัตยกรรมเดิมคือ x86 อยู่ และยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ทาง Intel Itanium นั้น ก็ยังคงต้องใช้การจำลอง Mode การประมวลผลแบบ 32 Bit อยู่ดี เพื่อให้ใช้ได้กับ Application ที่ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับ 64 Bit ... โดยทาง AMD ก็ได้กล่าวอีกว่า ผู้พัฒนา Application นั้น ก็คงไม่อยากเสียเวลาแก้ไขโปรแกรมให้ใช้งานแบบ 64 Bit นักหละ เพราะผลต่างของประสิทธิภาพที่ได้เพิ่มขึ้น ก็ไม่ได้มากมายนัก ไม่คุ้มกับการเสียเวลา

สิ่งหนึ่ง ที่น่าสนใจ ก็คือ ประสิทธิภาพใน Mode จำลองการประมวลผลแบบ 32 Bit ของ Itanium นี้ จะเป็นอย่างไร? ... ดีกว่า หรือว่า แย่กว่า การประมวล ผลแบบ 32 Bit ของ Pentium III รุ่นปัจจุบัน ... และเมื่อเทียบกับรุ่น Coppermine ล่ะ? จะเป็นอย่างไร ... คำถามนี้ ทาง Intel ได้ให้ความเห็นว่า จุดมุ่งหมาย หรือ ตลาดของ CPU ทั้ง 2 รุ่นนี้ ต่างกัน .. การออกแบบอะไรๆ ก็ต่างกัน ดังนั้น จะให้เอามาเปรียบเทียบกัน ก็คงเป็นไปไม่ได้ ...

ในตลาดระดับกลาง และระดับล่าง ... ทาง AMD ก็จะยังคงใช้ K6-2 และ K6-III เป็นคู่หัวหอก ในการถล่มตลาดระดับนี้ โดยจะมี K6-2+ ซึ่งเป็น CPU K6-2 เดิม แต่มีการเปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรมภายในบ้างอีกเล็กน้อย และมีข่าวออกมาบ้าง ว่า AMD จะยุติสายการผลิต K6-III แล้วหัวมา ใช้หัวหอกตัวเดียว คือ K6-2+ แทน เพราะ K6-2+ นั้นก็จะมี On-Die Cache เช่นเดียวกับ K6-III แล้ว แถมยังใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.18 ไมครอน อีกด้วย ซึ่งก็คาดว่า จะเริ่มเข้าบุกตลาดในราวๆ ต้นปี 2000

ด้านการตลาด

ทุกวันนี้ การแข่งขันด้านตลาด CPU ของ AMD และ Intel รุนแรงมาก ทั้งแข่งกันด้วย เทคโนโลยี และ ลูกเล่นทางการตลาดมากมาย

แต่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ นั้น ต้องอาศัยเวลาในการพัฒนาอยู่ไม่ใช่น้อยๆ ดังนั้น กลไก การแข่งขัน ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ก็คือ กลไก ในเรื่องของราคา ซึ่งมีการลดราคา ห้ำหั่นกันอย่างรุนแรงเลยทีเดียว

จากการที่ Intel ได้ประกาศหั่นราคา CPU ของตน ทั้ง Pentium II/III และ Celeron ลงอย่างหนัก และประกาศหั่นราคาลงถี่มากๆ ทำให้ AMD เอง ก็ต้องหั่นราคาของตนลงด้วย เพราะ ในเมื่อ คุณภาพ ไม่ทิ้งกันมาก แต่หากราคาพอๆ กัน ก็จะทำให้ผู้ซื้อ ตัดสินใจลำบาก หรือ หากว่า คุณภาพด้อยกว่า เล็กน้อย แต่ราคาพอๆกัน ผู้ซื้อ ก็ไม่ลังเลเลย ที่จะซื้อของที่มีคุณภาพสูงกว่า จริงไหมครับ?

ดังนั้น เมื่อ Intel ประกาศหั่นราคาลง ทาง AMD ก็จำเป็นต้องหั่นราคาลงด้วย ไม่ว่าจะเต็มใจ หรือ ไม่เต็มใจก็ตามที ผลที่ตามมานั้นก็คือ ผลกำไรลดลง

จากรายงานทางการตลาดของ AMD ในไตรมาสที่ 2 ของปี 1999 นี้ สิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ผลปรากฏว่า AMD มียอดขาดทุนสุทธิถึง 163 ล้าน USD จากยอดขายทั้งหมด 595 ล้าน USD ซึ่งจัดว่าเป็นมูลค่าไม่ใช่น้อยๆ เลยทีเดียว ยิ่งเมื่อเทียบกับเมื่อไตรมาสแรก ที่มียอดขาดทุนเพียงแค่ 65 ล้าน USD เท่านั้น

W.J. Sanders ซึ่งเป็นประธาน และ CEO ของ AMD ได้ชี้แจงให้เห็นว่า เมื่อปีที่ผ่านมา ( 1998 ) AMD สามารถ ทำกำไรจาก CPU ของตนได้ถึงตัวละ 100 USD เลยทีเดียว แต่แล้วเมื่อมีสงครามการห้ำหั่นราคากันหนักข้อขึ้น ก็ทำให้กำไรจาก CPU ของตนเหลือเพียงตัวละ 78 USD และ ท้ายสุดก็หล่นมาเหลือเพียง 6 USD เท่านั้น

ดังนั้นหากมีสงครามห้ำหั่นราคากันอย่างหนักต่อไป ก็คงเป็นปัญหากับทาง AMD แน่นอน ...

แล้ว ปัญหานี้ไม่เกิดกับ Intel หรือ? เกิดครับ เกิดแน่นอน ... แต่ไม่มีผลกระทบที่หนักเท่ากับ AMD เพราะ Intel นั้นเป็นบริษัท ที่ใหญ่กว่า และ มีโรงงานผลิตที่ใหญ่ และ มากกว่า ดังนั้นต้นทุนในการผลิต และ การบรรจุ Package ก็น้อยกว่า ถึงแม้ว่า จะได้กำไรน้อยลง จากสงครามการหั่นราคา แต่ก็ไม่ทำให้ Intel สูญกำไรไปเสียทีเดียว เพราะ อย่างไรซะ Intel ก็ยังคงได้กำไร ในส่วนของ CPU สำหรับ High-End Computer หรือ Server ในตระกูล Xeon มากกว่า เพราะถึงแม้จะคู่แข่งอย่าง SUN แต่ก็ไม่ได้ก่อสงครามการหั่นราคา เพื่อแย่งตลาดกันรุนแรง เหมือนกับ Low-End Computer ทำให้ทาง Intel ยังมีกำไร และ ได้ผลบวกตรงจุดนี้อยู่



ด้านเทคโนโลยี

ในด้านเทคโนโลยี ถึงแม้ว่า จะมีการแข่งขันกันช้ากว่าด้านการตลาด แต่ก็ได้มีการบอกถึงแผนงานต่างๆ รวมถึง แผนการออกแบบ CPU เพื่อมาข่มขวัญกันอยู่เป็นระยะๆ มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามา เพื่อใช้เป็นจุดขาย และ เป็นจุดเด่นของ CPU ของตน

ทุกวันนี้ AMD ก็ได้แก้คำครหา ว่าเป็นผู้ตามหลัง Intel ในด้านเทคโนโลยี ได้แล้ว เพราะสามารถสร้าง CPU ของตน ให้ก้าวล้ำนำ Intel ไปบ้างแล้ว แม้ว่าจะติดปัญหาด้านอื่นๆ ไม่ใช่น้อยๆ ก็ตามที แต่ถ้ามองเฉพาะด้าน CPU แล้ว ก็นับว่า AMD ทำได้สำเร็จ โดยเฉพาะด้านการประมวลผลเชิงทศนิยมที่สามารถพัฒนา และ ปรับปรุงให้ดีขึ้นมา ทัดเทียม หรืออาจจะเหนือกว่า Intel ในบางด้านแล้ว นอกจากนั้น ยังมีแผนงานสำหรับ CPU รุ่นใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ และ ระดับความเร็วสูงๆ ออกมาเกทับทาง Intel อยู่เป็นระยะๆ

ส่วนทางด้าน Intel เอง ก็ไม่ได้น้อยหน้า โดยการชิงเปิดตัว CPU ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิต 0.18 ไมครอนก่อนทาง AMD และยังมี เทคโนโลยีใหม่ๆ ออกมาอยู่เสมอ ผลัดกันรุก ผลัดกันรับ ... ผลัดกันเกทับอยู่เป็นระยะๆ ...

ด้านเทคโนโลยีนี้ คงหาผู้ชนะกันลำบาก เพราะผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะอยู่เป็นช่วงๆ ผู้แพ้ ผู้ชนะ ก็เป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งๆ เท่านั้น

บทสรุป และ ความเห็นส่วนตัว


ดูเหมือนว่า ต่างฝ่าย ต่างก็งัดเอาอาวุธใหม่ๆ เข้ามาห้ำหั่นกันอยู่เป็นระยะๆ นะครับ ดูแล้วไม่น่าจะจบสิ้นกันง่ายๆ ทาง Intel เองนั้น ก็คงจะลำบากหน่อย เพราะว่าต้องรับมือหลายทาง ทั้ง ด้านตลาด Desktop PC ที่ต้องรับมือกับทั้ง AMD และ Cyrix ( VIA ) ตลาด Chipset แข่งกับทาง ( VIA และ ALI ) และรวมไปถึงตลาดเครื่อง Server ที่มีคู่แข่งอีกหลายเจ้า ทั้ง SUN และ Compaq ( Alpha ) แต่ในขณะที่ทาง AMD นั้น แม้จะมี Chipset ของตนเองออกมาบ้างแล้ว และ พยายามจะผลักดัน CPU ตัวใหม่ๆ ของตนให้เข้าสู่ตลาด Server ด้วย แต่ก็ยังไม่เน้นหนักไปทางนั้นสักเท่าไร

โดยความเห็นส่วนตัว ณ เวลานี้ ความเร็วของ CPU ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีผลกับความรู้สึกในการทำงานแล้ว แม้ว่าจะเพิ่มความเร็วกันให้ถึงระดับ 1 GHz ก็ไม่ให้ความรู้สึกว่าเร็วขึ้นจาก 300 MHz สักเท่าไร เพราะเทคโนโลยีด้านอื่นๆ ยังคงเป็นตัวหน่วงให้ระบบอยู่ อย่างน้อยๆ ก็ Harddisk ละครับ ที่ยังคงเป็นตัวหน่วงความเร็วของระบบมาช้านานแล้ว ดังนั้น ถ้าทาง AMD จะหันมาสนใจด้านการตลาดบ้าง หาพันธมิตรทางการค้าเพิ่มเติมบ้าง ก็จะดีกว่านี้ไม่น้อย ... เพราะทุกๆวันนี้ แม้เทคโนโลยีจะทัดเทียม หรืออาจจะนำหน้าทาง Intel ไปบ้างแล้ว แต่ด้านการตลาดยังคงตามหลัง Intel อยู่หลายก้าวเลย ...

จะอย่างไรก็ดี แม้ว่าเทคโนโลยีของทุกวันนี้ จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีการคิดค้นสถาปัตยกรรมใหม่ๆ อยู่เสมอ และ มีการแข่งขันกันทางตลาด อย่างมาก ทั้งเรื่องราคา และ เรื่องการโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ นาๆ เพื่อให้หันมาใช้ CPU รุ่นใหม่ๆ อยู่เสมอ แต่ก็ไม่จำเป็นเสมอไป ที่เราจะต้อง ตามซื้อ เพื่อไล่ตามให้ทันเทคโนโลยีอยู่เสมอไป ... ทั้ง AMD และ Intel แข่งขันกัน ผลดีนั้นตกอยู่ที่ผู้บริโภค เพราะจะได้ซื้อ CPU คุณภาพดี ให้เหมาะสมกับงานที่ใช้ และ ราคาไม่แพง แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการเลือกซื้อ / เลือกใช้ด้วย

บทความนี้ คงจะขอจบลงที่ตรงนี้ แต่ สงครามการแข่งขันชิงความเป็นเจ้าตลาดของ AMD และ Intel ยังไม่จบ ยังคงมีอยู่ต่อไปเรื่อยๆ หากว่ามีข้อมูล ทั้งด้านการตลาด และ ด้านเทคโนโลยี เข้ามาเพิ่มอีกมาก ก็อาจมีภาค 2 ต่อ ก็เป็นได้ ...

แต่อย่างไรซะ ก็อยากฝากข้อคิดไว้สักข้อ ( แม้จะไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้สักเท่าไร ) ก็คือ " เราควรจะรู้ให้เท่าทันเทคโนโลยี แต่ ไม่จำเป็นจะต้อง ทำตัวตามให้ทันเทคโนโลยีเสมอไป " ขอบคุณครับ

ทิ้งทวนศตวรรษที่ 20

Intel Pentium !!! ( Coppermine )

Intel ได้ปล่อยตัว CPU Pentium !!! รุ่นใหม่ ที่เรียกว่า Pentium !!! Coppermine โดยมีการปรับปรุงสถาปัตยกรรมภายในอีกไม่ใช่น้อย เพื่อเป็นการแก้ตัวจากการที่รีบปล่อย Pentium !!! Katmai มากเกินไป จนทำให้ Katmai ที่ออกมา ผิดจาก Spec ที่เคยกล่าวไว้บ้างพอสมควร จุดเด่นต่างๆ ของ Pentium !!! ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ 0.18 ไมครอน ( หรือ Coppermine Core ) ก็มีดังนี้
ลดขนาดของช่องทางการเชื่อมต่อระหว่างทรานซิสเตอร์ภายในให้น้อยลง ทำให้ติดต่อกันได้เร็วขึ้น
ใช้ Fluorine-Doped SiO2 ( SiOF ) เป็นขั้วไฟฟ้า Dielectric ทำให้มีความเร็วในการทำงานที่ดีขึ้น
มีชั้นโลหะมากขึ้น สำหรับส่งผ่านข้อมูลจำนวนมากๆ ช่วยส่งผลให้ Interface ของ Cache ระดับ 2 ที่อยู่บน CPU สามารถทำงานด้วยความเร็วเดียวกันกับ CPU
ทำงานด้วยศักย์ไฟฟ้าต่ำลง คือลดลงมาอยู่ในระดับ 1.1 - 1.7 Volt
กินไฟต่ำ ( ใช้พลังงานไฟฟ้าต่ำ ) ทำให้เกิดความร้อนน้อย
ขนาดของแผ่น Die ลดลงจาก 128 ตารางมิลลิเมตร ( Katmai Core ) เหลือเพียง 106 ตารางมิลลิเมตร แต่บรรจุทรานซิสเตอร์ได้มากขึ้นเป็น 28.1 ล้านตัว
มี Cache ระดับ 2 ที่อยู่บนตัว CPU ขนาด 256 KB ( Integrated On-Die L2 Cache )
6 Metal Layer Process เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เป็นอาวุธลับอีก 2 ชิ้น ที่ทาง Intel กล่าวว่า จะช่วยให้ Pentium !!! ที่ใช้ เทคโนโลยีการผลิต 0.18 ไมครอนนี้ ให้ประสิทธิภาพเหนือกว่า Katmai Core เดิม ในทุกๆด้าน ถึง 20% เมื่อเทียบกันที่ความเร็วของสัญญาณนาฬิกาที่เท่ากันที่ 600 MHz ก็คือ Advanced Transfer Cache ( ATC ) และ Advanced System Buffering ( ASB ) ซึ่งจากเทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาอีก 2 อย่างนี้ ทาง Intel ก็ได้อ้างว่า มันจะทำให้ Pentium !!! ที่ใช้ Coppermine Core มีประสิทธิภาพที่เหนือกว่า Katmai Core อยู่ถึง 20% นอกจากนี้ ทาง Intel ยังได้เผยบรรจุภัณฑ์แบบใหม่ของ Pentium !!! คือ FC-PGA หรือ Flip-Chip Pin Grid Array ซึ่งสามารถใช้ Plug เข้ากลับ Socket แบบ 370 pin ได้อีกด้วย โดยให้ความเห็นว่า เป็นการลดขนาดของ CPU เพื่อให้ต่อๆไป ผู้ผลิต PC สามารถออกแบบ Case หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ให้มีรูปทรงกระทัดรัด หรือ แปลกใหม่ได้ง่ายขึ้น จากการที่ CPU Pentium !!! รุ่นใหม่ที่เปิดตัวขึ้นมานี้ บางรุ่น ก็มีระดับความเร็วที่เท่ากับรุ่นเดิม ( Katmai ) ซึ่งก็อาจสร้างความสับสนให้กับทั้งผู้ซื้อ และ ผู้ขายได้ ดังนั้นทาง Intel จึงได้กำหนดให้ใช้ตัวอักษร E และ B กำกับไว้หลังตัวเลขแสดงความเร็วเพื่อบ่งบอกถึงคุณสมบัติเหล่านี้ ดังนี้
ตัวอักษร E หมายถึง CPU Pentium !!! ที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตแบบ 0.18 ไมครอน และมี Cache ระดับ 2 อยู่บน Die เดียวกันกับ CPU ทำงานด้วยความเร็วเท่ากันกับ CPU ( ซึ่งก็รวมถึงมี Advance Transfer Cache ด้วย )
ตัวอักษร B หมายถึง CPU Pentium !!! รุ่นที่ใช้ FSB เป็น 133 MHz เพราะฉะนั้นรุ่นที่มีทั้งตัว E และ ตัว B ก็จะหมายถึง CPU Pentium !!! Coppermine ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ 0.18 มี On-Die Full Speed L2 Cache และใช้ FSB 133 MHz ส่วนรุ่นที่มีความเร็วมากกว่า 650 MHz ขึ้นไป จะใช้การผลิตแบบ 0.18 ไมครอน มี On-Die Full Speed L2 Cache และมี FSB 133 MHz ทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่จำเป็น ต้องมีตัวอักษร E หรือ B กำกับไว้ AMD Athlon ( K7 )
ความพยายามของ AMD ที่พยายามจะหนีให้พ้นจากเรื่องที่ถูกมองว่ามีเทคโนโลยีตามหลัง Intel อยู่เสมอ ดูเหมือนจะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เมื่อทาง AMD ได้เปิดตัว CPU ตระกูลใหม่ สายพันธุ์ที่ 7 ของตน ที่ชื่อว่า Athlon โดยสลัดคราบสถาปัตยกรรมเดิมที่มีมาจนถึงรุ่นที่ 6 จนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงชุดคำสั่ง 3DNow! เท่านั้น ที่ยังคงมีอยู่ แต่ก็ได้มีการปรับปรุง และเพิ่มเติมชุดคำสั่งนี้ใหม่ เรียกว่า เป็น Enhance 3DNow! โดยสถาปัตยกรรมหลักคร่าวๆ ของ Athlon เป็นดังนี้
เป็น Superpipeline 9 สาย
เป็นส่วนของหน่วยประมวลผลทางทศนิยม ที่เป็นแบบ Out-Of-Order และ Superscalar 3 สาย
เป็นส่วนของหน่วยประมวลผลเลขจำนวนเต็ม ที่เป็นแบบ Out-Of-Order และ Superscalar 3 สาย
เป็นส่วนของหน่วยคำนวนหาตำแหน่งสำหรับการประมวลผลอีก 3 สาย
ชุดคำสั่ง Enhanced 3DNow! ที่รวมเอาชุดคำสั่งเดิม 21 คำสั่ง และอีก 19 คำสั่งสำหรับการจัดการด้าน Cache และ ช่วยในการประมวลผลเลขจำนวนเต็ม และอีก 5 คำสั่งสำหรับการประมวลผลด้าน DSP ( Digital Singal Processing )
ใช้ Alpha EV6 Bus ที่ความเร็ว 200 MHz โดย EV6 Bus นี้ใช้เทคโนโลยี DDR ( Double Data Rate ) ทำให้ มีความเร็ว MHz สูงกว่า FSB อยู่เท่าตัว
Cache ระดับ 1 ขนาด 128 K และมี Cache ระดับ 2 อยู่ใน Package เดียวกันกับ CPU ( แต่ไม่ได้อยู่บน Die เดียวกัน )
ใช้ Interface แบบ Slot A ในการ Plug เข้ากับ Mainboard
แผ่น Die มีขนาด 184 ตารางมิลลิเมตร ใช้เทคโนโลยีขนาด 0.25 ไมครอน และมีจำนวน Transistor 22 ล้านตัว
ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ 6 Metal Layer AMD Athlon เป็น CPU ในรุ่นที่ 7 ของ AMD ซึ่งนับเป็นเจ้าแรก ที่เข้าสู่ยุคที่ 7 เพราะแม้ว่า Intel จะมี Pentium !!! Coppermine ออกมา แต่ก็ยังจัดว่าเป็นรุ่นที่ 6 อยู่ เรื่อง FPU ของ AMD ที่เคยด้อยกว่า Intel เพราะทาง AMD นั้นใช้ Low Latency FPU ในรุ่นก่อนๆ มารุ่นใหม่นี้ ทาง AMD ก็ได้หันมาใช้แบบ Pipeline แล้ว และได้ใช้ Pipeline สำหรับประมวลผลด้านทศนิยมถึง 3 สาย รวมถึงการเพิ่มขนาดของ Cache ระดับ 1 ถึง 128K เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอีกด้วย

นอกจากนี้ ทาง AMD ยังได้เปิดโรงงานผลิตแห่งใหม่ที่ Dresden ที่เรียกว่าเป็น Fab 30 ( Fab = Fabrication เป็นลักษณะของโรงงานวิจัย และ ผลิต ส่วนเลข 30 หมายถึง AMD ได้ก่อตั้งมาเป็นเวลา 30 ปีแล้ว ซึ่งไม่ได้หมายถึงว่าเป็นโรงงานผลิตสาขาที่ 30 แต่อย่างใด ) ในไตรมาสสุดท้ายของปี 1999เพื่อ ใช้เป็นที่ผลิต และ พัฒนา Copper Athlon แล้วยังรวมไปถึงการค้นคว้าวิจัยในวงจรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย Fab 30 ที่ Dresden นี้ ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 75 เอเคอร์ ที่ทางเหนือของ Dresden ในรัฐ Saxony ประเทศเยอรมณี โดยจะใช้เป็นโรงงานผลิตหลักสำหรับ AMD Athlon ที่ใช้เทคโนโลยี HiP6L หรือก็คือเทคโนโลยี Copper ขนาด 0.18 ไมครอน ภายใต้ ข้อตกลงร่วมกับทาง Motorola และคาดว่าจะเริ่มทำการผลิต Copper Athlon เพื่อส่งออกสู่ท้องตลาด ในช่วงครึ่งหลังของปี 2000
เปรียบเทียบเทคโนโลยี 3DNow! ตัวใหม่ที่ใช้กับ Athlon กับ ชุดคำสั่ง Intel SSE
Functionality
Enhanced 3DNow!
SSE
Conclusion
SIMD floating point functionality
21
50
สำหรับเรื่องนี้ ทาง AMD อ้างว่า ตนนั้นเป็นผู้ริเริ่ม SIMD FPU เป็นเจ้าแรก โดยเทคโนโลยีด้านนี้ของทาง AMD และ Intel ต่างก็สนับสนุนการประมวลผลด้านทศนิยมทีละ 4 คำสั่ง ต่อสัญญาณนาฬิกา และต่างก็สามารถทำได้ถึงระดับ 2.4 GFlops ที่ระดับความเร็ว 600 MHz เท่าๆกัน ่ในด้านของชุดคำสั่ง AMD จะใช้ชุดคำสั่งที่น้อยกว่า และ เรียบง่ายกว่า ( เป็นลักษณะของ RISC ) แต่การทำงานที่สลับซับซ้อน ก็จำต้องเขียน Code สำหรับการ Optimize เอาเอง ส่วนทาง Intel จะใช้ชุดคำสั่งที่มากกว่า และ สลับซับซ้อนกว่า ( เป็นลักษณะของ CISC ) ซึ่ง ในการเรียกใช้งานจะทำได้ง่ายกว่า แต่ในการทำงานอาจจะต้องเสียเวลาในการรอถึง 2 สัญญาณนาฬิกา เพราะจำต้องใช้การควบคุมของ MMX เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
MMX (integer) augmentation and data movement
19
20
ทั้งคู่ ต่างก็มีชุดคำสั่งสำหรับการจัดการ Cache และ ชุดควบคุม Streaming Control โดยทาง AMD ได้เพิ่มชุดคำสั่งเข้ามาจาก 3DNow! เดิมอีก 19 คำสั่ง ส่วนทาง Intel SSE นั้นมีอยู่ 20 คำสั่ง โดย 12 คำสั่ง จะทำงานร่วมกับชุดคำสั่ง MMX เดิม และอีก 8 คำสั่ง จะช่วยในการจัดการของ Cache
DSP communication extensions
5
ไม่มี
เป็นชุดคำสั่งใหม่ของทาง AMD ที่ใช้สถาปัตยกรรม SIMD กับการประมวลผลด้าน DSP ( Digital Signal Processing ) สำหรับใช้กับ Soft Modem , Soft ADSL , การคำนวนทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน , MP3 และ Dolby Digital
จำนวนชุดคำสั่งใหม่ทั้งหมด
45
70
- หมายเหตุ ตารางนี้ ใช้ข้อมูลอ้างอิงกับทาง AMD แต่ได้มีการแก้ไขและเพิ่มเติมข้อมูลในส่วนของทาง Intel ใหม่แล้ว AMD พลาดท่าไปมากกับการเปิดตัว Athlon ซึ่งหมายจะย้ำแค้นให้กับทาง Intel แต่ไม่เป็นดังคาด เพราะแม้จะมีการเปิดตัว Athlon ไปตั้งแต่กลางๆ ปีแล้ว มี CPU ขายแล้ว แต่กลับไม่มี Mainboard ให้ใช้ ที่มีออกมา ก็กลับมีปัญหาจนต้องเรียกกลับคืน และกว่าจะมี Mainboard มารองรับมากขึ้นก็ปาเข้าไป ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีซะแล้ว ... แถมยังประสบปัญหาจากการที่ไต้หวันเกิดแผ่นดินไหวอีกด้วย ทำให้งานนี้ AMD เจ็บตัวอยู่ไม่น้อย แต่ก็ใช่ว่า จะเจ็บเป็นอยู่อย่างเดียว เพราะอย่างไร ประสิทธิภาพของ Athlon ที่ออกมา ความเร็วเป็น MHz ที่ออกมาข่ม Intel เป็นระยะๆ และ ราคาของ Athlon ที่ถูกกว่า Intel Pentium !!! ที่ระดับความเร็วเท่าๆ กัน ก็สร้างความกดดันให้กับ Intel บ้าง ไม่ใช่น้อยๆ ... ยังไงก็นับว่า "Athlon นี้เป็นอาวุธชิ้นสุดท้ายของ AMD ที่ใช้อัด Intel Pentium !!! ทิ้งทวน อำลาศตวรรษที่ 20 " รวมถึง Fab 30 ที่เพิ่งเปิดตัว โดยทาง AMD หมายจะใช้เป็นกองกำลังหลักในปี 2000 สำหรับการพัฒนา และ ผลิต Athlon ที่ใช้ทองแดงในการเชื่อมต่อ ( Copper Interconnect ) กับ CPU ความเร็วในระดับ GHz ก็นับเป็น " ความหวังใหม่ของทาง AMD ในศตวรรษที่ 21" Intel เอง ก็พลาดท่ากับการที่เปิดตัว Coppermine แล้ว แต่กลับไม่มีสินค้ามาวางขาย อีกทั้งยังประสบปัญหาในด้าน Chipset ตัวใหม่ๆ ที่หมายจะเอา มาใช้กับ Pentium !!! Coppermine ทำให้ทาง Intel ก็ประสบปัญหาไม่แพ้ทาง AMD เช่นกัน ... ก็ดูเหมือนว่าทาง Intel จะยอมรับว่าประสิทธิภาพ ของ Pentium !!! ( Katmai ) นั้นจะแพ้ Athlon ที่ระดับความเร็ว MHz เท่าๆ กัน ในหลายๆด้าน ดังนั้น "Pentium !!! Coppermin นี่ก็คือ อาวุธชิ้นสุดท้าย ของทาง Intel ที่จะใช้ต่อกรกับทางหมายจะเอามาโต้กลับ AMD Athlon คืน" ละครับ รวมถึง Chipset ใหม่ๆ ที่จะเอามาใช้กับ Pentium !!! Coppermine ซึ่งจะรวมเอา เทคโนโลยีใหม่ๆ ความสามารถใหม่ๆ เช่นการรองรับ RAMBUS , AGP 4X และ UDMA/66 ที่จะช่วยทำให้ Pentium !!! Coppermine แสดงประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่ ก็นับว่าเป็น "ความหวังใหม่ของ Intel ที่จะช่วยเสริมฐานบัลลังก์ให้มั่นคงกว่าเดิม" เช่นเดียวกันครับ
รายละเอียดเพิ่มเติม
Advanced Transfer Cache ( ATC ) เทคโนโลยีนี้เป็นเทคโนโลยีของการนำเอา Cache ระดับ 2 ขนาด 256 KB มาฝังไว้ในตัว CPU เลย ( Integrated On-Die 256 KB L2 Cache ) และได้ขยายความกว้างของระบบบัสที่ใช้ในการติดต่อกับ Cache ระดับ 2 ที่จากเดิมใช้เพียง 64 Bit มาเป็น 288 Bit ( 256 Bit Data + 32 Bit ECC ) นอกจากนั้นยังได้เปลี่ยนเทคนิคการเข้าถึงข้อมูลแบบสุ่มของ Cache จาก 4 ทาง เป็น 8 ทาง ( 8 - Way Associative ) และยังมีช่วงจังหวะรอในการ รับส่งข้อมูลต่ำ ( Low Latency ) ทำให้มีความเร็วในการทำงานของ Cache เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 4 เท่า เมื่อเทียบกับความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลของ Katmai Core สรุปจุดเด่นของ ATC ได้ดังนี้
มีขนาด 256K บน Die เดียวกันกับ CPU ทำงานด้วยความเร็วเท่าๆ กับ CPU
มีการเข้าถึงแบบสุ่มได้ 8 ทาง ( 8-Way Set Associative, 1024 sets , 32 Byte line + 4 Byte ECC , 36 Bit Physical Address )
มีความเร็วในการทำงานของ Cache เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 4 เท่า เมื่อเทียบกับ Katmai Core
มีความกว้างของระบบบัสที่ใช้ในการติดต่อรับส่งข้อมูลกับ Cache ระดับ 2 ขนาด 288 Bit ( เป็นข้อมูล 256 Bit และ เป็น การตรวจสอบความผิดพลาด หรือ ECC 32 Bit )
มี Back-To-Back Throughtput 2 ช่วงสัญญาณนาฬิกา
Advanced System Buffering ( ASB ) เทคโนโลยีใหม่อีกประการหนึ่ง เป็นเทคโนโลยี ที่มีการเพิ่มขนาดของ Buffer ( หรือที่พักข้อมูล ) ให้มีจำนวนมากขึ้น โดยทาง Intel ได้กล่าวว่า ปริมาณที่เพิ่มขึ้นนี้ ได้ทำการทดสอบแล้วว่า เป็นขนาดที่สมดุล และช่วยให้ใช้ประโยชน์ของ FSB 133 MHz ได้อย่างเต็มที่แล้ว ซึ่งเทคโนโลยีนี้ ช่วยทำให้หน่วยประมวลผลกลาง หรือ CPU สามารถเข้าถึงหน่วยความจำหลัก หรือ Main Memory ได้เร็วขึ้น ASB นี้จะช่วยลดปัญหาคอขวด ( Bottleneck ) ให้ลดน้อยลง โดยการเพิ่มขนาดของ Fill Buffer จาก 4 เป็น 6 หน่วย ทำให้การทำงานของ Cache ด้าน Concurrent Non-Blocking Data เพิ่มขึ้นอีก 50% และ เพิ่มขนาดของ Bus Queue Entry จาก 4 ไปเป็น 8 หน่วย ทำให้มีการทำงานประสานกัน ระหว่าง Outstanding Memory กับระบบบัส มากขึ้น นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มขนาดของ Writeback Buffer จาก 1 เป็น 4 อีกด้วย ซึ่งทำให้ลดการ Block ระหว่างขั้นตอน Cache Replacement ลง ละยังทำให้เวลาในการ Deallocation ในการ Fill Buffer เร็วขึ้นอีกด้วย

Empire Strike Back!

Intel Pentium III ( Katmai )
Intel ตอบโต้ AMD กลับ ด้วยการชิงเปิดตัว Pentium III ออกมาก่อนหน้า AMD K6-III โดยได้เปลี่ยนแปลงกำหนดการ ให้ออกเร็วขึ้น และ ได้สร้างความผิดหวังพอสมควรกับ การเร่งออกจนเกินไปในครั้งนี้ เพราะอะไร? ก่อนหน้านี้ Intel ได้ประกาศว่า Pentium III นั้น จะใช้เทคโนโลยีขนาด 0.18 Micron ใช้ไฟเลี้ยง 1.8 Volt และ มี Cache ระดับ 1 ขนาด 64 K ด้วย แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ นั้นปรากฏว่า ยังคงเป็น เทคโนโลยีขนาด 0.25 Micron ใช้ไฟเลี้ยง 2.0 Volt และ ยังคงมี Cache ระดับ 1 เพียง 32 K เช่นเดียวกับ Pentium II เลย จากข้อมูลหลายๆแหล่ง กล่าวว่า Pentium III นั้นใช้ สถาปัตยกรรมแกนหลัก ( Core ) เดียวกันกับ Pentium II นั่นก็คือใช้ Deschute Core เช่นเดิม เพียงแต่ได้เพิ่มเติมประสิทธิภาพอย่างอื่นเข้าไปแทน อาทิ SSE และ Processor Serial Number ( เรียก Core ใหม่นี้ว่า Katmai Core ) ซึ่ง หากตัดความสามารถทั้ง 2 อย่างนี้ออกแล้วละก็ .. Pentium III ก็ไม่ต่างจาก Pentium II เลยทีเดียว ปัญหาหนึ่งที่น่าจะเกิดขึ้นกับ Pentium III หนักกว่า Pentium II นั้นก็คือเรื่องปัญหาด้านความร้อน เนื่องจาก Pentium III นั้น มีจำนวนทรานซิสเตอร์อัดแน่นอยู่ภายใน CPU กว่า 9.5 ล้านตัว ซึ่งมากกว่า Pentium II ถึง 2 ล้านตัว และ อัดกันอยู่บนแผ่นเวเฟอร์ ขนาด 0.25 Micron ผลก็คือ ความร้อนที่เกิดขึ้นกับตัว CPU นั้น สูงกว่า Pentium II แน่นอน สรุปสถาปัตยกรรมโดยคร่าวๆของ Pentium III
ใช้เทคโนโลยีการผลิต ขนาด 0.25 Micron
Katmai Core นั้น พัฒนาขึ้นมาจาก Deschute Core โดยการเพิ่มชุดคำสั่ง SSE
Interface ที่ใช้ต่อเข้ากับ Mainboard เป็น Slot-1
Cache ระดับ 1 ขนาด 32 K แบ่งเป็น Cache ข้อมูล 16 K และ Cache คำสั่ง 16 K โดยมีการเข้าถึงได้ 4 ทาง ( 4-Way Associative )
Cache ระดับ 2 อยู่บน PCB เดียวกันกับ CPU ใน SECC2 เดียวกัน โดยมีขนาด 512 K และทำงานที่ความเร็วเพียงครึ่งหนึ่งของความเร็ว CPU
ใช้ไฟเลี้ยง CPU Core 2.0 Volt
ชุดคำสั่ง พิเศษสำหรับช่วยจัดการงานด้าน Multimedia, Internet และ Graphics 3D อีก 70 คำสั่ง ( SSE )
Processor Serial Number ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของ CPU Pentium III แต่ละตัว
ใช้ FSB 100 MHz และ ยังคงมีการล็อคค่าตัวคูณสัญญาณนาฬิกา ( Multiplier Lock ) อย่างไรก็ตาม Intel มีแผนการจะวางตลาด Pentium III ตัวใหม่ที่ใช้ Core ใหม่ ที่มี CodeName ว่า Coppermine ในราวปลายๆปี 1999 นี้ โดยคาดว่า Coppermine นี้ จะใช้ FSB ที่ 133 MHz รวมถึงใช้เทคโนโลยีแบบ 0.18 Micron และเริ่ม ต้นที่ความเร็ว 600 MHz Intel Pentium III Xeon
เหมือนกับเป็นผลรวมของ Pentium II Xeon บวกกับความสามารถใหม่ของ Pentium III คือ SSE และ Processor Serial Number ดังนั้นโดยสถาปัตยกรรมหลักแล้ว ก็ยังคงพื้นฐานเดิมของ Pentium II Xeon เช่นเดิม เพราะฉะนั้น ความสามารถใหม่ๆ ที่เด่นๆ ก็มีเพียง
Internet Streaming SIMD Extension ที่ช่วยให้สามารถแสดงข้อมูลที่เต็มไปด้วยสื่อต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และเสริมให้แอพพลิเคชั่นประเภท Streaming Media และ Application ที่ต้องใช้พื้นที่ในหน่วยความจำสูงๆ สามารถทำงานได้ดียิ่งขึ้น
สามารถ ทำงานร่วมกันกับแพลตฟอร์มของเวิร์กสเตชั่น และเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ Pentium II โปรเซสเซอร์ ได้
เข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการต่างๆ ทั้งบนไมโครซอฟต์ Windows NT หรือระบบ UNIX ได้
มีให้เลือกขนาดของ Cache ระดับ 2 ได้หลายแบบ กล่าวคือ รุ่น 500 MHz นั้นมี ขนาดของ Cache ระดับ 2 ให้เลือกถึง 3 รุ่น คือ 512 KB, 1 MB หรือ 2 MB และแบบความจุ 512 KB สำหรับรุ่น 550 MHz
ยังคงความสามารถต่างๆ ที่มีใน Pentium II Xeon เดิม เช่น ECC, SMB และ FRC ซึ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับ WorkStation หรือ Server
คุณสมบัติ Processor Serial Number และก็เช่นกันกับ Pentium II Xeon นั่นก็คือ CPU ตัวนี้ เหมาะกับการใช้เป็น Server และ / หรือ WorkStation เท่านั้น ไม่เหมาะกับ Home User ทั่วๆไป แน่นอนครับ ทั้งด้วยประสิทธิภาพที่เกินความจำเป็น และ ราคาที่สูงเกินอาจเอื้อม AMD K6-III 3DNow! ( SharpTooth )
AMD หมายจะตอกย้ำความเจ็บช้ำให้กับ Intel ซึ่งได้เคยสร้างไว้แล้ว เมื่อคราว K6-2 ดังนั้น มาคราวนี้ AMD ได้รับประสปการณ์เรื่องความเร็ว Cache ระดับ 2 มาจาก Celeron ก็เลยตัดสินใจ รวม Cache ระดับ 2 เข้าไปใน CPU ด้วย โดยเพิ่มให้มีขนาดเป็น 2 เท่าของ Celeron คือ มีขนาดถึง 256 K และ ทำงานด้วย ความเร็วเท่าๆ กับ CPU เลยทีเดียว และ ยังคงใช้กับ Mainboard Socket 7 ที่มี Cache บน Mainboard อีกด้วย ก็เลยทำให้มันมอง Cache บน Mainboard นั้น เป็น Cache ระดับ 3 ไปโดยปริยาย CPU ตัวใหม่นี้ เดิมที AMD จะให้ชื่อ K6-3 และ มี Code Name ว่า SharpTooth แต่ต่อมา ภายหลังจากที่ทาง Intel ประกาศตัว Pentium III และ ทาง AMD เองก็หมายจะให้ CPU ตัวใหม่นี้ของตนเป็นคู่แข่งกับ Pentium III ก็เลยเปลี่ยนชื่อ K6-3 นี้เล็กน้อย มาเป็น K6-III แทน
ด้านสถาปัตยกรรมแบบ SuperScalar
มีหน่วยประมวลผลที่สามารถทำงานได้พร้อมๆ กันถึง 10 หน่วย
Branch Prediction 2 ระดับ
Speculative Execution
Out-Of-Order Execution แบบเต็มรูปแบบ
Register Renaming และ Data Forwarding
ทำงานด้วยชุดคำสั่ง RISC86 ได้ถึง 6 ชุดคำสั่ง ต่อ 1 สัญญาณนาฬิกา
สถาปัตยกรรมแบบ Tri-Level Cache ( Cache 3 ระดับ )
Cache ภายใน มีขนาดโดยรวมมากถึง 320 KB
Cache ระดับ 1 ขนาด 64 KB แบ่งเป็น Cache ข้อมูล 32 KB ( เป็น Write-Back Dual-Port ) และ Cache ชุดคำสั่งอีก 32 KB
มีการเข้าถึง Cache ระดับ 1 ได้ 2 ทางพร้อมๆกัน ( 2 Way -Associative )
Cache ระดับ 2 ฝังอยู่ใน Silicon ชิ้นเดียวกับ CPU ขนาด 256 KB ( Write-Back )
มีการเข้าถึง Cache ระดับ 2 ได้ 4 ทางพร้อมๆกัน ( 4 Way -Associative )
มอง Cache บน Mainboard เป็น Cache ภายนอก ( Cache ระดับ 3 )
ใช้เทคโนโลยี 3DNow! ( 21 ชุดคำสั่ง SIMD FPU )
Package เป็น Ceramic Pin Grid Array ( CPGA ) ซึ่งมี 321 ขา เพื่อใช้กับ Interface แบบ Socket 7 ( Super 7 )
มีทรานซิสเตอร์ 21.3 ล้านทรานซิสเตอร์ บน Die Size ขนาด 118 ตารางมิลลิเมตร และใช้เทคโนโลยีขนาด 0.25 Micron 5 Layer-Metal Silicon ด้วยประสิทธิภาพที่ดีพอๆ กันในการใช้งานทั่วๆไป และ มีข้อเด่นข้อด้อย ต่างกัน ซึ่งเมื่อจะมองๆ ไป ก็น่าจะชดเชยส่วนด้อยกันไปได้ และ ราคานั้น AMD ก็ยังคงถูกกว่า Pentium III ณ ระดับความเร็วเท่าๆ กัน ... งานนี้ก็เลยดูเหมือนว่า K6-III จะย้ำแค้นได้สำเร็จ ... แต่ ในความเป็นจริง กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อ Intel ประกาศ เปิดตัว Pentium III ก็ได้เปิดตัว SSE และ สร้างภาพลักษณ์ให้กับ Internet SSE อย่างมาก เพื่อให้ ผู้ใช้ฝังใจว่า หากจะเล่น Internet ให้เร็วๆ แล้ว ก็ต้องใช้ Pentium III ซึ่งเรื่องนี้ ทาง Intel ทุ่มทุนในการโปรโมทเป็นอย่างมาก อีกทั้ง Intel ได้ทำการหั่นราคา CPU Pentium III ของตน ลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ผลลัพธ์ ก็เหมือนกับว่า ทาง Intel นั้น เป็นจักรพรรดิ ที่กลับมาทวงบัลลังก์คืน ด้วยขุมกำลังอันมหาศาลเลยทีเดียว ... แล้ว Intel จะทวงบัลลังก์คืนได้ไหม? หรือว่า เป็นแค่เพียงการดิ้นรนเฮือกสุดท้าย หรือ AMD มีการเตรียมการโต้ตอบอย่างไร ? กาลเวลาจะเป็นผู้ให้คำตอบนี้ได้อย่างดีที่สุด ตารางสรุปเปรียบเทียบ Spec ต่าง
Processor Features
Performance Benefits
AMD-K6®-III with 3DNow!™ technology
Pentium®III
Process Technology (micron)

0.25
0.25
Die size (mm2)
Smaller die size=lower cost
118
140
Clock speed (MHz)
Faster clock speed generally means faster processing and apps launching
400450
450500 550
Total System cache (max)
Larger cache typically improves overall performance
2368 KB
544 KB
*Internal cache
Built-in feature that helps the CPU access data and instructions even faster
320 KB
32 KB
L2 cache support
Augments L1 cache, making data and instruction access even faster
256 KB (full speed)
512 KB (half speed)
L3 cache support
Provides additional system cache improving overall performance
Yes(up to 2 MB)
No
Processor bus (max bus speed)
Moves data between CPU and main memory
100MHz
100MHz
MMX™ Technology
Improves quality and performance of integer-based multimedia applications
Yes
Yes
Advanced Floating Point Multimedia Technology
Enables superior visual and multmedia experience
Yes3DNow! technology
YesStreaming SIMD Extensions
Accelerated Graphics Port Support
Speeds up 3D graphics
Yes
Yes
X86 compatibility
Standard industry architecture, essential for running standard PC applications
Yes
Yes
รายละเอียดเพิ่มเติม
SSE : Streaming SIMD Extension เป็นชุดคำสั่งแบบ SIMD ที่ทาง Intel เพิ่มเข้าไปใน CPU ของตน ซึ่งก็เหมือนกับ MMX และ 3DNow! ( ของ AMD ) เพียงแต่ MMX นั้น เป็น SIMD สำหรับการประมวลผลเลขจำนวนเต็ม แต่ SSE นั้น เน้นด้าน ทศนิยมเป็นหลัก และ ยังใช้งานได้กว้างขวางกว่า 3DNow! ของ AMD อีก เพราะไม่ได้จำกัดแค่ Application ด้าน 3D เท่านั้น SSE นั้น เป็นชุดคำสั่ง 70 คำสั่ง ที่มีคำสั่งในการประมวลผลเชิงทศนิยม อยู่ 50 คำสั่ง ... เป็น ชุดคำสั่ง MMX ใหม่ ซึ่ง Compat กับ MMX เดิม 57 คำสั่ง อีก 12 คำสั่ง และ เป็นชุดคำสั่งที่จัดการเกี่ยวกับ Cache อีก 8 คำสั่ง อ่านเพิ่มเติมได้ ที่บทความเรื่อง FPU Power : ประสิทธิภาพในการประมวลผลเชิงทศนิยม ครับ
PSN : Processor Serial Number เป็น Feature ใหม่ ที่ทาง Intel เพิ่มเติมเข้าไปให้กับ CPU Pentium III ของตน โดยแต่เดิมนั้น ใช้ข้อมูลขนาด 32 Bit เท่านั้น ในระบุชนิด ของ CPU แต่ใน Pentium III นั้น จะมี chip PROM ( Programable ROM ) ขนาด 96 Bit ฝังอยู่ใน Pentium III เลย โดยจะมีการจัดเก็บรหัสข้อมูลของ CPU แต่ละตัวที่ไม่ซ้ำกันเลย ( เป็น Uniqe Number ) ขนาด 64 Bit และจะทำงานโดยการเรียกผ่านชุดคำสั่ง CPU_ID เพื่อให้ใช้งาน PSN ได้ PSN นั้น ทาง Intel อ้างว่า มีไว้ เพื่อให้ผู้ดูแลระบบขององค์การ สามารถใช้ PSN ในการติดตามข้อมูลเกี่ยวกับ เครื่อง Computer ที่ต่ออยู่กับ Network ทั้งในด้าน ตำแหน่งที่ตั้งของเครื่อง, Configuration, Application ที่ใช้งานต่างๆ และ อื่นๆ ได้ อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เรื่องของ Internet Security ซึ่ง Intel มองถึงเรื่องของ E-Commerce โดย PSN นั้นจะช่วยป้องกันการ Access เข้าไปใช้งาน จากผู้ที่ไม่มีสิทธิ โดยผู้ใช้สามารถลงทะเบียน PSN ของเครื่องที่ใช้ติดต่อกับเว็ปไซท์ที่ใช้บริการ E-Commerce นั้นๆ แล้ว เมื่อมีการ Access เข้าไปเพื่อจะติดต่อธุรกิจ ก็อาจมีการให้ใส่ login และ password จากนั้น ระบบก็จะส่ง PSN ไปให้กับผู้ให้บริการด้วย เพื่อเป็นการยืนยันอีกทางหนึ่ง
Tri-Level Cache สำหรับ AMD K6-III นั้น ได้มีการนำเอา Cache ระดับ 2 เข้ามาไว้ในตัว CPU เลย เป็น Cache ภายในที่ทำงานด้วยความเร็ว เท่ากับ ความเร็วของ CPU และมอง Cache ภายนอกที่อยู่บน Mainboard ซึ่งทำงานด้วยความเร็วเท่าๆกับ System Bus เป็น Cache ระดับ 3 ซึ่ง ผลที่ได้นั้นก็จะช่วยลดการเกิด Cache Miss ลง และ ยังทำให้ CPU ดึงข้อมูลที่ต้องการใช้งานได้ง่ายขึ้นอีกด้วย ประสิทธิภาพโดยรวมก็ดีขึ้น และ กับงานที่มีการเรียกใช้งาน Cache มากๆ เช่นพวก Presentation หรือ Office Application ต่างๆ ก็จะยิ่งเห็นผลของ Tri-Level Cache ได้มากขึ้น

เมื่อจักรพรรดิตกบัลลังก์

Intel Pentium II ( Klamath/Deschute )
ในกลางปี 1996 Intel ก็ได้ส่งตัว CPU ในตระกูล x86 ตัวใหม่ของตน ออกสู่ท้องตลาด นั่นก็คือ Intel Pentium II ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็เหมือน Pentium Pro ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาอีกระดับหนึ่งนั่นเอง เพราะโดยสถาปัตยกรรมทั่วๆไปแล้ว ก็ไม่ต่างจาก Pentium Pro เลย เพียงแต่มีการปรับแต่งบางอย่างให้มีความสมดุลย์ และ มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เช่นมีการใส่คำสั่ง MMX เข้าไป และมี การปรับแต่ง Interface เสียใหม่ โดยจากเดิมนั้นใช้ Interface แบบ Socket เช่น Intel Pentium Pro ใช้ Socket 8 หรือ Intel Pentium MMX ใช้ Socket 7 ( และ/หรือ Socket 5 ) ก็หันมาใช้ Interface เป็นแบบ Slot แทน และเปลี่ยน Package ของ CPU จากที่เป็น PGA ( Pin-Grid Array ) มาเป็น SECC ( Single Edge Contact Cartridge ) ซึ่งมีลักษณะ เหมือนกับ กล่องวีดีโอเทป และ ได้มีการย้ายตำแหน่งของ Cache ระดับ 2 ออกมาไว้ต่างหาก ถึงแม้ว่าจะอยู่ใน SECC เหมือนกับ CPU แต่ก็ไม่ได้บรรจุไว้บน Chip ของ CPU อย่าง Pentium Pro และ ทำงานด้วยความเร็วเป็นครึ่งหนึ่งของความเร็ว CPU ( เช่น CPU ความเร็ว 300 MHz เจ้า Cache ระดับ 2 นี้ ก็จะทำงานที่ความเร็วเพียง 150 MHz เท่านั้น ) และยังได้เพิ่มขนาดของ Cache ระดับ 1 เป็น 32K ซึ่งเป็น 2 เท่าของ Intel Pentium Pro เลยทีเดียว รูปข้างล่างนี้ แสดง Package ของ Intel Pentium II ทั้งด้านหน้า และ ด้านหลัง
เรียก Interface ใหม่ที่ใช้ต่อเชื่อมระหว่าง CPU กับ Mainboard ว่า เป็น Slot-1 ( สล็อตวัน ) โดยสาเหตุหลัก ที่ Intel ต้องเปลี่ยนมาใช้เป็น Slot-1 นั้น ทาง Intel อ้างว่า เพื่อลดปัญหาคอขวดระหว่าง Cache ระดับ 2 และ หน่วยความจำหลัก ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญ ที่เป็นตัวหน่วงประสิทธิภาพของระบบ แต่โดยความเห็นส่วนตัวแล้ว คาดว่าจุดประสงค์หลัก จริงๆ แล้ว น่าจะเป็นเพราะเรื่องของลิขสิทธิ์มากกว่า ... เพราะเมื่อ Intel ย้ายมาใช้เป็น Slot-1 แล้วก็ได้มีการจดลิขสิทธิ์ไว้ทันที บริษัทผู้ผลิต CPU เจ้าอื่นๆ หากต้องการที่จะผลิต CPU ที่ใช้ Slot-1 ด้วย ก็ต้องจ่ายค่าสิทธิบัตรให้กับทาง Intel เป็นจำนวนไม่ใช่น้อยๆเลยทีเดียว CPU Intel Pentium II นั้น มี 2 รุ่น ... รุ่นแรกที่ออกสู่ท้องตลาดนั้น ใช้เทคโนโลยีขนาด 0.35 Micron และ ใช้ไฟเลี้ยง ( Vcore ) 2.8 Volt มี Code Name ว่า Klamath ซึ่ง CPU รุ่นนี้จัดว่ามีความร้อนสูง ต่อมา ทาง Intel จึงได้ทำการลดขนาดของแผ่นเวเฟอร์ลง หันมาใช้เป็นขนาด 0.25 Micron แทน และใช้ไฟเลี้ยงเป็น 2.0 Volt แทน โดยรุ่นนี้จะมี Code Name ว่า Deschute พร้อมกันนั้น ก็ได้เปิดตัว chipset ตัวใหม่ของตน ซึ่งสนับสนุนการทำงานถึง 100 MHz ด้วย ... นั่นก็คือ chipset Intel 440BX เอาละครับ ลองมาดู Spec รายละเอียดของ Pentium II กันดีกว่านะครับ
มีตั้งแต่รุ่น 233 MHz ถึง 450 MHz ( 233-333 MHz ใช้ FSB 66 MHz , 350-450 MHz ใช้ FSB 100 MHz )
Deschute Core นั้น ใช้เทคโนโลยีขนาด 0.25 Micron เพื่อเพิ่มความถี่ของ core ได้มากขึ้น และ ใช้ไฟน้อยลง
มี MMX ด้วย แต่เหนือชั้นไปว่า Intel Pentium MMX เพราะสามารถทำงานได้ทีละ 2 ชุดคำสั่ง MMX ได้พร้อมๆกัน
มีสถาปัตยกรรมแบบ Dual Independent Bus ( DIB ) โดยแบ่งเป็น System Bus และ Cache Bus เพื่อเพิ่มความกว้างของเส้นทางข้อมูล และ เพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม
รุ่น 350, 400 และ 450 MHz นั้น ใช้ความเร็วบัสของระบบ ( FSB ) เพิ่มจากเดิม 66 MHz เป็น 100 MHz เพื่อดึงประสิทธิภาพให้เกิดมากที่สุด
Cache ระดับ 1 ขนาด 32 K แบ่งเป็น Cache ข้อมูล 16 K และ Cache คำสั่งอีก 16 K
Cache ระดับ 2 อยู่ใน SECC เดียวกัน ขนาด 512 K ทำงานที่ความเร็วเป็นครึ่งหนึ่งของความเร็ว CPU
รุ่น 350, 400 และ 450 MHz นั้น สามารถอ้างตำแหน่งของหน่วยความจำได้มากถึง 4 GB
สามารถใช้ร่วมกันเป็น Dual Processor ได้ โดยจะสามารถอ้างหน่วยความจำหลักได้ถึง 64 GB
และ ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการตรวจสอบความผิดพลาดของ Cache ระดับ 2 อีกหลายอย่าง CPU ในสายการผลิตที่ใช้ Code Name ว่า Deschute นั้น ทาง Intel ได้มีการป้องกันการ OverClock CPU ของตน โดยได้มีการ Lock ค่าตัวคูณ ให้คงที่ตลอด ไม่ว่าจะปรับแต่งอย่างไร ก็ไม่มีผล ( Multiplier Lock ) เพื่อลดปัญหาการ Remark CPU ของตน และ เพื่อปิดกั้นการ OverClock CPU ของตนอีกทางหนึ่ง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไร้ผล เพราะ ก็ยังคงมีการ OverClock CPU ตระกูลนี้กันให้สนุกมือเลยทีเดียว :-) Intel Pentium II Xeon
Pentium II Xeon นั้น ถูกพัฒนาเพื่อเน้นให้ใช้งานสำหรับ Server โดยเฉพาะ ถึงแม้ว่าสถาปัตยกรรมโดยทั่วๆ ไป จะคล้ายๆ กับ Pentium II แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่าง เห็นได้ชัดนั้น ก็มีไม่น้อยเช่นกัน ดังนี้
ใช้ Interface ใหม่ เป็น Slot-2 ( สล็อตทู ) และ ไม่สามารถใช้ด้วยกันได้กับ Slot-1
ใช้งานบน Mainboard ที่ใช้ chipset 440GX ( AGP set ) และ/หรือ 440NX ( PCI set )
มีหน่วยความจำแคช L2 ทั้งในขนาด 450MHz 512 กิโลไบต์ และ 400MHz 512 กิโลไบต์ หรือ 1 เมกะไบต์
ใช้ข้อมูลร่วมกันกับส่วนที่เหลือของระบบผ่านทางซิสเต็มบัสความจุสูงที่ทำงานได้ครั้งละหลายรายการ และมีความเร็ว 100MHz
เพิ่มหน่วยความจำได้สูงถึง 64 กิกะไบต์
ซิสเต็มบัสสนับสนุนการปฏิบัติตามคำสั่งหลายรายการพร้อมกัน เพื่อขยายแบนด์วิธ และยังสนับสนุนการทำงานโปรเซสเซอร์ได้สูงสุดถึง 8 ตัว
PSE36 การขยายการสนับสนุนหน่วยความจำ ให้เป็นขนาด 36 บิตที่ทำให้ระบบปฏิบัติการใช้หน่วยความจำขนาดใหญ่กว่า 4 กิกะไบต์ได้ ซึ่งจะทำให้ระบบ มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นสำหรับการใช้งานแอพพลิเคชั่นที่ต้องอ่านข้อมูลมากๆ และใช้พื้นที่หน่วยความจำมากในการทำงาน
สนับสนุนคลัสเตอร์ หรือความสามารถในการจัดระบบเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ โปรเซสเซอร์ 4 ตัวหลายระบบเป็นส่วนเดียวกันได้
มีระบบช่วยตรวจจับความร้อน โดย Diode ที่อยู่บน PCB จะช่วยตรวจจับอุณหภูมิ และ สามารถหยุดการทำงาน หากว่าอุณหภูมิสูงเกินไปได้
มีระบบตรวจสอบ และ แก้ไขข้อผิดพลาดของข้อมูล ( ECC : Error Correction Code )
มีระบบตรวจสอบการทำงานแบบซ้ำซ้อน ( FRC : Functional Redundancy Checking ) โดยพื้นฐานของราคา และ เป้าหมายทางการตลาดแล้ว ก็ดูจะไม่เหมาะกับ HomeUser หรือผู้ใช้งานระดับทั่วไป ละครับ Intel Celeron ( SEPP / PPGA 370 )
ถึงแม้ว่า Intel Pentium II ที่ออกมานั้น จะมีประสิทธิภาพที่ดูแล้วเด่น และ น่าสนใจมากๆ แต่ก็ติดปัญหาที่ราคานั้น จัดว่าสูงมาก ทำให้ไม่สามารถเข้ามามีส่วนแบ่งในตลาดระดับล่างได้ ... ทาง Intel จึงได้เปิดตัว Celeron ขึ้น โดยใช้โครงสร้างภายในมาจาก Intel Pentium II รุ่น Deschute นั่นเอง เพียงแต่ตัดเอา Cache ระดับ 2 ออก และ เปลี่ยน Package เล็กน้อย เป็น SEPP ( Singel Edge Processor Package )และได้ผลิตออกมา 2 รุ่นคือ ที่ความเร็ว 266 และ 300 MHz โดยมี CodeName ว่า Covinton ซึ่งราคานั้น ก็จัดว่าถูกกว่า Pentium II ที่ความเร็วเท่าๆ กัน ครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว แต่ดูเหมือนว่า การตัด Cache ระดับ 2 ออกไปนั้น มีผลต่อประสิทธิภาพโดยรวมเป็นอย่างมาก และ ยิ่งเป็นจุดที่ทำให้ คู่แข่งได้มีโอกาสซ้ำเติมตรงนี้ และ ใช้ข้อบกพร่องตรงนี้ของ Celeron มาพัฒนา CPU ของตนให้เป็นจุดเด่นแทน ก็เลยทำให้ทาง Intel ตัดสินใจใส่ Cache ระดับ 2 เข้าไปด้วย แต่ไม่ได้เอาไปไว้บน PCB เดียวกัน อย่าง Pentium II หากแต่ นำไปวางไว้บนแผ่น Siligon เดียวกันกับ CPU เลย ทำให้ Cache ระดับ 2 ที่เพิ่มเข้าไปนั้น ทำงานด้วยความเร็ว เท่ากันกับ CPU เลยทีเดียว แต่ขนาดของ Cache ระดับ 2 นั้น หากทาง Intel เพิ่มเข้าไป ในจำนวนเท่าๆกับ Pentium II ( คือ 512 K ) ผลก็คือ ราคานั้น อาจจะพอๆกัน หรือ อาจจะแพงกว่า Pentium II ซะด้วยซ้ำ ... Intel ไม่ทำเช่นนั้นแน่ๆ ดังนั้น ขนาดของ Cache ระดับ 2 ที่ Intel ใส่เพิ่มเข้าไป จึงมีเพียงแค่ 128K หรือเป็น 1/4 ของขนาดของ Cache ระดับ 2 ใน Pentium II เท่านั้น Celeron ที่เพิ่ม Cache ระดับ 2 เข้าไปนั้น ก็มีตั้งแต่รุ่นความเร็ว 300 MHz เป็นต้นไป เพื่อไม่ให้สับสนในการเลือกซื้อ เพราะในรุ่นที่ไม่มี Cache ระดับ 2 ก็มีรุ่นที่มีความเร็ว 300 MHz ด้วย ทาง Intel จึงเรียกชื่อ Celeron รุ่น 300 MHz ที่มี Cache ระดับ 2 นี้ว่า เป็นรุ่น Celeron 300 A แทน และ ให้ชื่อสายการผลิตนี้ว่า Mendocino ต่อมา เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายลงอีก ทาง Intel จึงได้ตัดสินใจผลิต Celeron Version ใหม่ ที่ใช้ Core เดิม หากแต่เปลี่ยน Interface หันกลับมาใช้เป็น Socket ตามเดิม แต่ว่า ได้ออกแบบใหม่ ( อีกแล้ว ) เป็น Socket ที่มีจำนวนขา 370 ขา ( Socket 7 นั้นมี 321 ขา ) และเรียก Package ของ Celeron ใหม่นี้ว่าเป็น PPGA
รูปแสดงการเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างของ CPGA ( 321 Pin ใช้กับ Socket 7 ) และ PPGA ( 370 Pin ใช้กับ Socket 370 ) สถาปัตยกรรมโดยทั่วไปนั้น ก็ เหมือนๆกับ Pentium II เพราะใช้ Core หลัก เดียวกัน มีการล็อคตัวคูณสัญญาณนาฬิกาเหมือนกัน แตกต่างกันก็ตรงที่ Celeron นั้น ยังคงใช้ความเร็ว Bus ของระบบเป็น 66 MHz ตลอดมา และ ใช้ผลิตรุ่นที่เป็น SEPP ( ใช้ Interface เป็น Slot-1 ) จนกระทั่งรุ่นความเร็ว 433 MHz จึงเลิกผลิต และ หันไปเน้นการผลิตแบบที่เป็น PPGA แทน
รูปแสดงรูปร่าง และ รายละเอียดของ SEPP ของ Celeron รุ่น Mendocino Core
รูปเปรียบเทียบ SEPP, SECC ตั้งแต่ Celeron ( Covinton ) , Celeron ( Mendocino ) และ Pentium II ( Deschute ) AMD K6-2 3DNow!
หลังจากที่พลาดท่ามาแล้วกับ รุ่น K6 ซึ่ง มีหน่วยประมวลผลด้านทศนิยมนั้นด้อยกว่าของ Intel อยู่ ตั้งแต่ 1 - 2 ระดับ ( ประสิทธิภาพ FPU ของ K6 300 MHz นั้น พอๆ กับ Pentium MMX 233 MHz เท่านั้น ทั้งๆ ที่ความเร็วห่างกันอยู่ถึง 2 ระดับ ) ทำให้ CPU รุ่น K6 นั้น ไม่เป็นที่แพร่หลาย สำหรับ ผู้ที่ต้องการพลังในการประมวลผลด้านทศนิยมเป็นอย่างมาก ... แน่นอน ... กับเกมส์ 3D ที่กำลังเป็นที่นิยมนั้น K6 ทำคะแนนได้ไม่ดีเลย จัดว่าแย่เอามากๆ แต่ถ้าเป็นการทำงานด้านอื่นๆ นั้น โดยเฉพาะกับงานด้าน Office Application หรืองานที่ต้องการใช้การประมวลผลด้านเลขจำนวนเต็ม ( เกมส์ 2D ก็ใช่ ) นั้น K6 กลับทำได้ดีเกินคุ้มเลยทีเดียว AMD ก็ได้เล็งเห็นถึงข้อบกพร่องตรงนั้นของตน และก็คิดหาทางแก้ไข ... แต่การออกแบบโครงสร้างใหม่นั้น ไม่ใช่ง่ายๆ นอกจากจะใช้เวลาไม่ใช่น้อยๆแล้ว ยังต้องทุ่มทุนในการพัฒนาอีกมากด้วย ซึ่งหาก AMD เลือกทางนี้ ก็จะไม่มี CPU ออกมาแข่งกับ Intel และ ปล่อยให้ Cyrix นั้นแข่งชิงความเป็นเจ้าตลาดกับ Intel เท่านั้น ... ซึ่งแน่นอนไม่ว่าผลการชิงนั้น จะเป็นอย่างไร AMD ก็คงไม่ยอมแน่ๆ เพราะ ตนได้แต่เพียงมองดูเขาชิงกัน ... AMD ต้องการมีส่วนร่วมด้วย ... แต่จะทำอย่างไร ล่ะ ในเมื่อ FPU ของ AMD นั้น สู้กับทาง Intel ไม่ได้เลย แล้วจะทำอย่างไรดี? 3DNow! จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ โดย 3DNow! นี้ ก็เหมือนๆ กับ ชุดคำสั่ง MMX ของ Intel คือเป็น คำสั่งใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาเพื่อการหนึ่งการใด ... ใช่ครับ 3DNow! นี้ มีมาเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการคำนวนเชิง FPU เพื่อใช้กับเกมส์ หรือ Application ที่มีการคำนวนภาพแบบ 3 มิติ ( 3D ) นั่นเอง ก็ใช่ว่า 3DNow! ที่เกิดขึ้นนี้ จะรุ่ง และ เพิ่มประสิทธิภาพของ CPU ได้เต็มที่ซะทีเดียวนัก เพราะ 3DNow! นี้ เป็นชุดคำสั่งภายใน ที่จำเป็นต้องมี Driver และ/หรือ Software ที่ใช้นั้น ก็ต้องมีการเรียกใช้ และมีการปรับแต่งให้เข้ากับ 3DNow! ด้วย จึงจะทำให้ มันใช้งานได้มีประสิทธิภาพสูงสุด แต่อย่างไรก็ดี มีบริษัทผู้ผลิตเกมส์ และ ผลิต Graphic Chip ไม่น้อยเลยทีเดียว ที่ออกตัวว่าจะผลิตเกมส์ หรือ Driver ของ Graphic Chip ให้สนับสนุนการทำงานของ 3DNow! นี้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเจ้าตลาด Graphic Chip 3D เกมส์ในขณะนั้น ซึ่งก็คือ 3Dfx ได้ประกาศและพัฒนา Driver สำหรับ Chip Voodoo ของตน ให้สนับสนุนการทำงานของ 3DNow! นี้ด้วย ก็ทำให้ CPU AMD K6-2 3DNow! นี้ เริ่มกลายเป็นที่กล่าวขวัญถึงกันอย่างมาก ประกอบกับทาง VIA และ ALI ได้ออก Chipset ที่ใช้กับ Socket 7 ( AMD K6-2 นี้ยังคงใช้ Interface แบบ Socket 7 ) ที่ใช้งานที่ 100 MHz ได้ ก็ช่วยทำให้ AMD K6-2 นี้ มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอีก สำหรับทางด้านรายละเอียดทั่วๆไป นั้นก็ขอสรุปคร่าวๆดังนี้ครับ
ใช้ FSB ที่ 66 MHz สำหรับ AMD K6-2 266 , 300 MHz ( AFR-66 ) และ 366 MHz
ใช้ FSB ที่ 95 MHz สำหรับ AMD K6-2 333 , 380 และ 475 MHz
ใช้ FSB ที่ 100 MHz สำหรับ AMD K6-2 300, 350, 400 , 450 และ 500 MHz
ใช้เทคโนโลยีขนาด 0.25 Micron และใช้ไฟเลี้ยง CPU เป็น 2.2 Volt ( K6-2/III 400 MHz ในรุ่นแรกๆ ใช้ไฟ 2.4 Volt )
ใช้ Interface แบบ Socket 7 ( 321 Pin ) ด้วยประสิทธิภาพที่สูง และ เด่นทั้งด้านการคำนวนเลขจำนวนเต็ม และ ยังเด่นในด้านเกมส์ 3D ( ถึงแม้จะไม่ใช่ที่ 1 แต่คุณภาพ ก็อยู่ใน ข่ายที่ยอมรับได้ ) บวกกับ ราคาที่จัดว่าถูกมากๆ ... ก็ทำให้ AMD K6-2 3DNow! นี้ ขายดิบขายดี เป็นเทน้ำ เทท่า เลยละครับ
หลายคน โดยเฉพาะทาง Intel คงแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ที่ผลการสำรวจตลาดในเดือนมกราคม ปี 2542 ที่ผ่านมานั้น ผลปรากฏว่า ยอดขาย CPU โดยรวมของ AMD นั้นสูงกว่า เพราะ ส่วนแบ่งของตลาดระดับล่าง และ ระดับกลางนั้น AMD แทบจะยึดครองไว้ได้เกือบหมด และ ในเดือนกุมภาพันธ์ต่อมา ส่วนแบ่งตลาดของ AMD ก็ยังคงเหนือกว่า Intel อีกเช่นเดิม เอาละสิ แล้วอย่างนี้ จักรพรรดิจะทำอย่างไร? เมื่อบัลลังก์ถูกฉกชิงไปต่อหน้าต่อตา ... จักรพรรดิจะสิ้นชื่อก็คราวนี้นะหรือ? ... สงครามบทนี้ จะจบลงอย่างนี้หรือ? ... ไม่แน่ๆ ... Intel คงต้องหาทางโต้กลับมาแน่ๆ แต่จะโต้กลับอย่างไร และ สำเร็จไหม ... แล้ว AMD นั้น มีการเตรียมตัว ในการตั้งรับการโต้กลับของ Intel ไว้อย่างไร? ... มาดูกันต่อเลยครับ ตารางสรุปเปรียบเทียบ Spec ต่าง
Processor Features
Performance Benefits
AMD-K6®-2 with 3DNow!™ technology
Pentium®II
Celeron
Process Technology (micron)
0.25
0.25
0.25
Die size (mm2)
Smaller die size=lower cost
81
131
131 or 155
Clock speed (MHz)
Faster clock speed generally means faster processing and apps launching
300333350/366/380 400450475
300333350400450
300/300A 333366400433 466 500
L1 cache
Built-in feature that helps the CPU retrieve even faster
64K Yes
32K Yes
32K Yes
L2 cache Support
Augments L1 cache, making data retrieval even faster
Yes
Yes
No 266/300 MHz Yes 300A/333MHz
Processor bus (max bus speed)
Moves data between CPU and memory
Super 7™ 100MHz Socket7 66MHz
Slot 1 100MHz 66MHz
Slot 1,Socket 37066MHz
MMX™ Technology
Enhances multimedia applications and runs other apps 10% faster
Yes
Yes
Yes
3DNow!™ Technology
Enables superior visual and multmedia experience
Yes
No
No
100 MHz Bus Support
Moves data between the CPU and the main memory. L2 cache can't improve performance without a fast bus to move the data. Faster bus eliminates the data bottleneck
Yes
Yes, but only at 350MHz and above
No
Accelerated Graphics Port Support
Speeds up 3D graphics
Yes
Yes
Yes
X86 compatibility
Standard industry architecture, essential for running standard PC applications
Yes
Yes
Yes
รายละเอียดเพิ่มเติม
3DNow! 3DNow! นั้น เป็นชุดคำสั่งใหม่ ที่ทาง AMD เป็นผู้คิดค้น และ พัฒนา โดยจะมีคำสั่งใหม่ๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามาอีก คำสั่งที่ใช้งานในแบบ SIMD ( Single Instruction Multiple Data stream ) เพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพในด้านการคำนวนเชิงทศนิยม รวมถึงได้แก้ไขปัญหาคอขวด ( BottleNeck ) ของ 3D Graphics Pipeline ระหว่าง CPU และ 2D/3D Graphic Card ด้วย ทาง AMD เลือกใช้วิธีนี้ ในการแก้ไขปัญหาเรื่องประสิทธิภาพด้าน FPU ในการเล่นเกมส์ 3 มิติ ซึ่ง CPU ของตนนั้นทำได้แย่กว่าของทาง Intel ที่ระดับความเร็วสัญญาณนาฬิกาเท่าๆกัน อ่านรายละเอียดเรื่องของ 3DNow! และ ประสิทธิภาพในการประมวลผลของ FPU ต่างๆ ได้ที่ พลังแห่งการประมวลผลเชิงทศนิยม ( FPU Power )
Cache Cache นั้น สำคัญไฉน อ่านเพิ่มเติมได้ ที่บทความเรื่อง Cache ครับ
Stepping ค่า Stepping เป็นค่าที่บ่งบอกถึงจำนวนการแก้ไข CPU โดย Stepping 0 หมายถึง core ที่เป็น Original Product และเมื่อมีการพบข้อผิดพลาดในส่วนของ MicroCode ของ core CPU หรือพบ CPU นั้นๆไม่สมบูรณ์ ก็จะทำการแก้ไขใหม่ เมื่อทำการแก้ไขใหม่เรียบร้อยแล้ว ก็จะเพิ่ม Stepping เป็น 1 และเมื่อพบข้อผิดพลาดและได้ ทำการแก้ไขอีกก็จะทำการเพิ่มค่า Stepping เข้าไปอีก ซึ่ง จะว่าไปแล้ว Stepping นี้ ก็อาจเปรียบได้กับการพิมพ์หนังสือ ... เป็นการพิมพ์ครั้งที่ 1 ... พิมพ์ครั้งที่ 2 หรือ พิมพ์ ครั้งที่ 3 เป็นต้น โดยปกติแล้ว จะพบว่า CPU ที่มีค่า Stepping มากกว่า 0 มักจะ Overclock ไม่ค่อยได้ หรือ มีเปอร์เซ็นต์สำเร็จ ในการ OverClock ต่ำกว่า CPU ที่มี Stepping เป็น 0 แต่ว่า มันจะมีความ Stable สูงกว่า สรุปง่ายๆ ก็คือ CPU ที่มี Stepping มาก ก็ยิ่ง OverClock แต่มันก็มากด้วยความ Stable
S-Code S-Code หรือ ที่ Intel เรียกว่า S-Spec นั้นเป็น ตัวอักษร 5 ตัวโดยนำหน้าด้วยตัว "S" ซึ่งทาง Intel ใช้สำหรับระบุความแตกต่างของชนิดของ CPU ของตนทั้งในด้านของ ชนิด, Stepping, Vcore หรือแม้แต่ ชนิดของการ Package CPU ว่าเป็น OEM หรือ Retail โดยสามารถดูได้ที่ตัวของ SEPP เลย หรือ ถ้าเป็นรุ่น Retail ก็จะดูได้จากข้างกล่องที่บรรจุ
Multiplier Lock ความเร็วในการทำงานของ CPU นั้นถูกกำหนดด้วยค่า 2 ค่า นั้นก็คือ ค่าความเร็ว Bus ของระบบ และ ค่าตัวคูณสัญญาณนาฬิกา โดย เรียกค่าความเร็ว Bus ของระบบว่าเป็น ความเร็วภายนอก เพราะระบบ Bus จะใช้ความเร็วนี้เป็นหลัก แต่ ความเร็วภายในของ CPU หรือ ที่เราเรียกๆ กันว่า CPU ความเร็ว 450 MHz นั้น เกิดจาก ผลคูณของความเร็ว Bus ของระบบ กับ ค่าตัวคูณสัญญาณนาฬิกา เช่นความเร็ว Bus ของระบบ เป็น 100 MHz และ ค่าตัวคูณสัญญาณนาฬิกานั้นเป็น 4.5 ก็จะได้ความเร็วของ CPU เป็น 450 MHz เดิมทีนั้น ทั้งค่าของความเร็วระบบ และ ค่าตัวคูณ จะสามารถปรับแต่งได้จากการ set บน Mainboard แต่เนื่องจาก เกิดปัญหาเรื่อง CPU remark มากเหลือเกิน ซึ่งก็เกิดจากการเพิ่มค่าของตัวคูณให้มากขึ้น เช่น จากเดิมเป็น 4.5 ก็เพิ่มเป็น 5 แล้วทำการ Screen ตัว CPU เสียใหม่ว่าเป็น CPU 500 MHz แล้วก็ขายในราคา 500 MHz ... แน่นอน ... ผู้เสียหายรายใหญ่นั้นคือ Intel ดังนั้น ทาง Intel จึงได้ ทำการปรับแต่งโครงสร้างการกำหนดค่าของ ตัวคูณเสียใหม่ โดยมีการฝังค่านั้นไว้ในส่วนของ Package CPU เลย และไม่จำเป็นต้องอ่านค่าตัวคูณจาก Mainboard อีกต่อไป
OEM & Retail CPU แบบ OEM หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า เป็นแบบ ถาด ( Tray ) จะเป็น CPU ที่มีเพียงแค่ตัว CPU โดดๆ ไม่มี Heatsink หรือ พัดลมจากทางผู้ผลิต CPU ให้ ( ที่มี ก็จะเป็นของที่ทางร้านเพิ่มให้เอง ) การรับประกันจะมีให้เพียงไม่นานนัก ซึ่งเป็นการประกันโดยผู้ขายเอง ไม่ใช่จากทางผู้ผลิตโดยตรง Retail หรือ ที่เราเรียกกันว่า แบบกล่อง (BOX) ซึ่งแบบนี้ จะมี Heatsink และพัดลมติดมาพร้อมกันเลย โดยทั้งหมดจะถูกบรรจุอย่างดีในกล่อง พร้อมด้วยคู่มือ รวมถึงรับประกันจากทางผู้ผลิตไม่ต่ำกว่า 1 ปี โดยปกติแล้ว แบบ OEM จะมีราคาถูกกว่าแบบ Retail อยู่พอสมควร และ ในตลาดบ้านเราจะพบแบบ OEM ได้มากกว่าแบบ Retail โดยเฉพาะอย่างยิ่ง CPU ของ AMD, Cyrix และ IDT ซึ่งจะเห็นได้แต่แบบ OEM เท่านั้น ( พอจะพบเห็น CPU ของ AMD แบบ Retail บ้าง ... แต่น้อยมาก ) ประสิทธิภาพของ OEM และ Retail นั้น ไม่แตกต่างกัน จะมีบ้างก็ในเรื่องความสามารถในการ OverClock และ เสถียรภาพ ซึ่งก็ไม่เห็นชัดเท่าไรนัก